การเตรียมตัวและการฝึกฝนการพูดเบื้องต้น
วิชาการพูดเป็นวิขาการพูดทั้งศาสตร์และศิลป์
การพูดเป็นพฤติกรรมสื่อสารของมนุษย์
ซึ่งเกิดจากการเรียนรู้ไม่ใช่สัญชาตญาณตามธรรมชาติ และความจำเป็น
ทำให้มนุษย์ต้องพูด และพูดได้แต่มนุษย์ก็ไม่สามารถพูดได้เองตามธรรมชาติ ต้องอาศัยการเรียนรู้จาก
บุคคลแวดล้อม และเรียนรู้ตามลำดับแห่งความเจริญเติบโต
เริ่มต้นด้วยคำพูดที่มีฐานที่เกิดของ เสียงจากริมฝีปากก่อน
แล้วจึงเรียนรู้วิจิตพิสดารมากขึ้น
การเรียนรู้เพื่อให้พูดได้เป็นเพียงพื้นฐานเบื้องต้นของการพูดเท่านั้น
เพราะหากทำได้เพียงเท่านั้นก็จะต้องประสบกับปัญหาในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมอย่างแน่นอน
ดังนั้นหากต้องการพูดให้ได้ผลดีจริงๆ
ต้องฝึกฝนการพูดโดยอาศัยหลักวิชาการพูดซึ่งมีหลักเกณฑ์ต่างๆ
ที่สามารถเรียนรู้และฝึกฝนได้
การพูดที่ดีและมีประสิทธิภาพนั้นมิ
ใช่ว่าผู้พูดอยากจะพูดอะไรก็ได้เพราะนั้น อาจส่งผลกระทบในทางลบกับตัวผู้พูดเอง
การจะเป็นผู้พูดที่ดีต้องมีการศึกษาและฝึกฝนวิธีการพูดที่ถูกต้อง
ซึ่งวิธีการพูดที่ถูกต้องนั้นก็มีหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้เพื่อให้ผู้พูดสามารถจะนำไปศึกษาและฝึกฝนได้
ดังนั้นจึงถือว่าการพูดเป็นทั้งศาสตร์ (science) อันหมายถึง
เป็นวิชาความรู้ และความเชื่อที่กำหนดไว้อย่างมีระบบระเบียบ
และสามารถพิสูจน์หรือสามารถหาข้อเท็จจริงได้ และ ศิลป์ (art) เพราะต้องอาศัยการฝึกฝน โดยใช้เทคนิควิธีการที่จำเป็น
ต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีหรือพลิกแพลงในด้านต่างๆ ให้เหมาะแก่ผู้พูดแต่ละคน
เพื่อให้การพูดของเขาในแต่ละครั้งนั้นเป็นการพูดที่ดีมีรสชาติ
มีชีวิตชีวาและทำให้ผู้ฟังเกิดความเข้าใจ สนุกสนานเพลิดเพลิน คล้อยตาม
หรือประทับใจขึ้นได้ เป็นต้น
มีหลายคนที่เชื่อว่าการพุดเป็นพรสวรรค์
หรือเป็นธรรมชาติที่ติดตัวมาแต่กำเนิด จึงไม่อาจศึกษาและฝึกฝนได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว
ถ้าจะกล่าวโดยทั่วไป การเรียนในทุกสาขาวิชาก็ต้องอาศัยพรสวรรค์อยู่บ้าง
ในแง่ที่ว่าบางคนอาจเรียนได้ดีกว่า เร็วกว่า หรือ รู้จักประโยชน์ได้มากกว่าบางคน
ไม่ว่าจะเป็นวิชาคณิตศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ หรือรัฐศาสตร์แม้กระทั้งวิชาคัดลายมือ
ในวิชาการพูดก็เช่นกันบางคนอาจจะเรียนได้ดีกว่า เร็วกว่า หรือ
รู้จักประโยชน์ใช้ได้มากกว่าบางคน แต่ทุกคนสามารถเรียนได้
ผุ้ที่เรียนย่อมมีหลีกที่ดีกว่าเดิมและดีว่าผู้ที่ไม่ได้เรียนการเรียนวิชาการพูดที่ถูกต้องต้องเรียนทั้งในฐานะที่เป็นศาสตร์และศิลป์
ดังที่ได้กล่าวไว้แล้ว
วัตถุประสงค์ของการฝึกฝนการพูด
วัตถุประสงค์ของการพูดมี ๕ ประการ คือ
๑. เพื่อให้รู้จักการสื่อสารด้วยคำพูดที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สำคัญในการอยู่และทำงานร่วมกับบุคคลอื่นในสังคม
บางคนอาจเรียนมาสูงสามารถพูดได้หลายภาษาแต่กลับพูดกับคนอื่นไม่รู้เรื่องพูดแล้วคนฟังไม่เข้าใจ
บุคคลเหล่านี้ต้องมาฝึกฝนการพูดกันใหม่
มิฉะนั้นจะไม่สามารถอยู่และสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้
๒. เพื่อเตรียมตัวเป็นผู้นำที่ดี
ผู้นำต้องพูดเป็นเพราะ ผู้นำทำงานด้วยปาก ผู้ตามทำงานด้วยมือ
แม้นว่ามนขณะนี้เราอาจจะเป็นผู้ตามก็ตาม แต่วันหนึ่งข้างหน้าเราอาจมีโอกาสได้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำคนหนึ่ง
ดังนั้นเราจึงต้องเตรียมตัวตั้งแต่บัดนี้
๓. เพื่อวางรากฐานของประชาธิปไตย ในสังคมประชาธิปไตยนั้น
ประชาชนจะต้องกล้าพุดกล้าแสดงออก รู้จักพุด รู้จักเสนอแนะ รู้จักคัดค้าน
ถ้าไม่กล้าพูด ไม่กล้าแสดงออก ไม่กล้าคัดค้าน
ก็จะกลายเป็นคนที่เอื้ออำนวยให้เกิดระบบเผด็จการในสังคมขึ้นได้
๔. เพื่อสร้างมนุษยสัมพันธ์ มนุษย์เราต้องอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นในสังคม
ทั้งกับครอบครัว เพื่อนบ้าน เพื่อร่วมงาน ฯลฯ ผู้ใดเป็นผู้มีมิตรภาพ
มีสัมพันธ์ภาพที่ดี รู้จักพูดคุยตามกาลเทศะ ย่อมทำให้อยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุข
บางคนอาจมีนิสัยดีไม่เป็นพิษไม่เป็นภัยกับใครแต่ปากไม่ดีชอบพูดพล่ามโดยไม่ทันคิดทำให้คนอื่นไม่อยากคบหาสมาคมด้วย
กลายเป็นคนที่ไม่น่าไว้วางใจ จนเป็นเหตุให้ขาดเพื่อนแท้ ขาดบริวารที่ดีไปได้
๕. เพื่อพัฒนาบุคลิกภาพ ผู้ที่มีโอกาสได้พุดในชุมชนบ่อยๆ
จำทำให้เกิดผลดีในด้านการพัฒนาบุคลิกภาพไปในตัว
เพราะในการฝึกฝนการพูดเราก็จะต้องฝึกด้านการพัฒนาบุคลิกภาพของเราควบคู่ไปด้วย
ซึ่งส่งผลทำให้บุคลิกภาพของเราดีขึ้น เช่น การวางตัวดีขึ้น
กิริยาท่าทางไม่เคอะเขิน แต่งการได้เหมาะสม มีความเชื่อมั่นในตนเอง มีความกระตือรือร้น
มีมนุษยสัมพันธ์ และมีคุณลักษณะอีกหลายประการที่หาไม่ได้จากที่ไหน
การเตรียมตัวเพื่อการพูดแบบต่างๆ
นักวิชาการ
และนักพูดส่วนใหญ่ จำแนกวิธีการพูดออกเป็น ๔ วิธี คือ
-
การพูดแบบไม่มีการเตรียมตัว
-
การพูดแบบอ่านจากต้นฉบับ
-
การพูดแบบพูดจากการท่องจำ
-
การพูดแบบพูดจากเตรียมตัวหรือพูดโดยความเข้าใจ
-
ซึ่งแต่ละวิธีก็มีหลักเกณฑ์ในการปฏิบัติและวิธีการในการเตรียมตัวที่แตกต่างกัน
ดังนี้
๑. การพูดแบบไม่มีการเตรียมตัว
( Impromptu Speech ) ]
การพูดแบบไม่มีการเตรียมตัวนั้น
มักเกิดขึ้นได้เสมอในชีวิตประจำวัน เช่น ในงานเลี้ยงสังสรรค์ในโอกาสต่างๆ
งานพิธีมงคลสมรส ฯลฯ ที่ผู้พูดอาจได้รับเชิญให้พูดโดยกะทันหัน
ทำให้ไม่มีเวลาในการเตรียมตัว เตรียมใจ และเตรียมเนื้อหาสาระในการพูด
ซึ่งความไม่พร้อมนี้ อาจจะส่งผลกระทบให้การพูดในครั้งนั้น
ไม่มีประสิทธิผลเท่าที่ควร
การพูดแบบนี้ถือว่าอันตรายที่สุด
เพราะหากไม่มีประสบการณ์หรือ ชั่วโมงบิน มากจริงๆ จะทำไม่ได้
โดยเฉพาะในการบรรยายที่ผู้ฟังไม่สนใจฟัง
ด้วยเหตุนี้ผู้พูดที่ดีซึ่งต้องการประสบความสำเร็จในการพูด
จึงควรมีการเตรียมตัวเพื่อ แนวทางในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไว้จะได้ประโยชน์ในยามที่ได้รับเชิญให้พูดโดยกะทันหัน
ในการพูดแบบนี้ผู้พูดมักไม่มีเวลาในการเตรียมตัว
และเตรียมเนื้อหาสาระในการพูดมากนักอย่างเพียงแค่ไม่กี่นาทีก่อนขึ้นพูด
ซึ่งวิธีการเตรียมตัว ในระยะเวลาอันสั้น เช่นนี้ผู้พูดอาจกระทำได้โดย
หากในสถานการณ์ที่ผู้พูดได้รับเชิญให้พูดโดยกะทันหันไม่มีการเตรียมตัวมาก่อน
ผู้พูดอาจอาศัย สังเกตข้อความที่ผู้อื่นเขาพูดมาก่อนหน้าเรา (ถ้ามี) แล้วอาศัยความชัดเจนที่มีอยู่ในตัวเป็นวัตถุดิบในการพูด
(ถ้าหากว่าผู้พูดเคยมีความรู้ และประสบการณ์ เกี่ยวกับการพูด
ในที่ชุมชนมาแล้ว ย่อมเป็นของง่ายที่จะพูดแบบนี้ โดยฉับพลันทันใด) ซึ่งผู้พูดจะต้องมองถึงหัวข้อเรื่องที่จะพูดในรูปโครงเรื่องย่อเสียก่อน
และเข้าใจวัตถุประสงค์พิเศษของการพูดในครั้งนั้นๆ จากกนั้นจึงคิดหาตัวอย่าง คำคม
หรือสุภาษิต เพื่อนำมากล่าวนำ แล้วรวบรวมเหตุผลและตัวอย่างประกอบ (เนื้อเรื่อง) เพื่อหาข้อยุติก่อนการพูดผู้พูดจะต้องพยายามสงบระงับความกระวนกระวายใจ
ทำจิตใจให้สบาย ระงับความตื่นเต้นโดยการหายใจเข้าออกช้าๆ หลายๆ ครั้ง
พอเริ่มพูดจะต้องเพ่งพินิจแต่เฉพาะเรื่องที่กำลังพูดอยู่เท่านั้น
การรวมจิตใจเพ่งพินิจแต่เฉพาะเรื่องที่จะพูดเช่นนี้ จะทำให้สามารถควบคุม ความตื่นเต้นของตนเองได้
สำหรับแนวทางในการกำหนดเนื้อเรื่องประกอบ ในการพูดแบบไม่มีการเตรียมตัวนั้น ผู้พูดอาจเลือกใช้แนวใดแนวหนึ่งดังนี้
สำหรับแนวทางในการกำหนดเนื้อเรื่องประกอบ ในการพูดแบบไม่มีการเตรียมตัวนั้น ผู้พูดอาจเลือกใช้แนวใดแนวหนึ่งดังนี้
-
แนวส่วนของเรื่อง (Space Order)
-
หมายถึง แนวทางในการพูดที่ยึดการแบ่งเรื่องออกเป็นส่วนๆ
ผู้พูดต้องแบ่งให้ดีว่าเรื่อวงที่เราจะพูดนั้นสามารถกล่าวในลักษณะของรูปธรรมได้หรือไม่
หากได้ให้เริ่ม กล่าวจากรูปธรรมซึ่งผู้ฟังเข้าใจได้ง่ายก่อน
จากนั้นจึงเปลี่ยนไปสู่นามธรรมดาตามหัวข้อเรื่อง
ไม่ควรเริ่มพูดจากนามธรรมเพราะผู้ฟังอาจไม่เข้าใจได้ - แนวลำดับเวลา (Time Order)
-
หมายถึง แนวทางในการพูดที่ยึดถือเรื่องเวลาเป็นหลักการดำเนินเรื่อง
จะกล่าวถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน
และที่น่าจะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต
-
แนวเหตุและผล (Causal Order) ]
-
หมายถึง
แนวทางในการพูดที่ยึดถือเรื่องเหตุและผลเป็นหลัก
โดยกล่าวถึงสาเหตุก่อนว่าทำไมจึงเกิดเรื่องนั้นๆ ขึ้น และเมื่อเกิดขึ้นแล้ว
จะมีผลอย่างไร -
แนวหัวเรื่อง (Topic Order)
หมายถึง แนวทางในการพูดที่ยึดถือหัวเรื่องเป็นหลัก เราสามารถพูดโดยกล่าวถึงชื่อเรื่องที่เราจะพูด เช่น อาจจะกล่าวว่าหมายถึงอะไร หรือโดยทั่วไป หมายถึงอะไรแต่ในที่นี้หมายถึงอะไร เป็นต้น
หมายถึง แนวทางในการพูดที่ยึดถือหัวเรื่องเป็นหลัก เราสามารถพูดโดยกล่าวถึงชื่อเรื่องที่เราจะพูด เช่น อาจจะกล่าวว่าหมายถึงอะไร หรือโดยทั่วไป หมายถึงอะไรแต่ในที่นี้หมายถึงอะไร เป็นต้น
ตัวอย่างการพูดแบบไม่มีการเตรียมตัว
ตัวอย่างที่ ๑ เมื่อได้รับเชิญให้กล่าวอวยพรในวันขึ้นปีใหม่
(ในฐานะประธานบริษัท)
ท่านผู้มีเกียรติและเพื่อร่วมงานที่รักทั้งหลาย
ในนามของบริษัทฯ
ผมมีความรู้สึกชื่นชมยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้เห็นเพื่อร่วมงานมาร่วมสนุกสนานกันอย่างเต็มที
เนื่องในโอกาส ฉลองวันขึ้นปีใหม่ ในวันนี้
ทุกปีที่ผ่านมาเราถือว่าวันนี้เป็นวันแห่งความรัก
และความสามัคคีเพราะพนักงานทุกระดับ จะได้มีโอกาสมาสังสรรค์ และร่วมสนุกสนานกัน
หลังจากที่เราได้เหน็ดเหนื่อยกันมาทั้งปี
ความก้าวหน้าของบริษัทเรา
นับว่าเป็นความภาคภูมิใจของพวกเราทุกคน ในปีนี้ผมขอเรียนให้ทุกท่านทราบว่า กิจการของบริษัทเรา ได้พัฒนาก้าวหน้าไปมาก
โดยเฉพาะสินค้าของเราได้รับการยอมรับ และการสั่งซื้อสินค้าจากลูกค้าจำนวนมาก
ซึ่งผมเองในฐานะ ประธานกรรมการ ของบริษัท ก็มีนโยบายในการขยายงานของบริษัทออกไผสู่ภูมิภาคให้มากขึ้น
มีการเร่งผลิตให้เพื่อสูงขึ้น ทั้งในด้านปริมาณและ คุณภาพ
ให้สินค้าของเราเป็นที่นิยมของ ประชาชนอย่างกว้างขวาง
ความสำเร็จของการดำเนินงานตลอดระยะเวลา
๑ ปีที่ผ่านมานั้น มาจากการทุ่มเทเสียสละ ในการทำงานของเพื่อนพนักงาน
และท่านผู้บริหาร ทุกท่าน
ดังนั้นเพื่อตอบแทนในการเสียสละที่เพื่อนพนักงานและท่านผู้บริหารทุกท่านได้ทุ่มเทให้กับบริษัท
ทางบริษัทของเราก็จะมีการปรับเงินเดือน ของพนักงานทุกระดับชั้นให้สูงขึ้น
ขณะเดียวกันก็จะมีการปรับปรุงด้านสวัสดิการให้ดีขึ้นด้วยเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่นี้
ผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย
จงดลบันดาลให้เพื่อพนักงานทุกท่าน จงประสบความสำเร็จ ความสุข ความเจริญตลอดไป ไชโย!
ไชโย! ไชโย!
ตัวอย่างที่ ๒ เมื่อกล่าวอวยพรคู่สมรส
ท่านผู้มีเกียรติ เพื่อเจ้าบ่าว
และเพื่อเจ้าสาว
ผมรู้สึกเป็นเกียรติและมีความยินดีเป้นอย่างยิ่ง
ที่ท่านเจ้าภาพได้มอบหมายให้ผมมาเป็นผู้กล่าวอวยพรคู่สมรสในครั้งนี้
คู่สมรส คือ
คุณวิภาพักตร์และคุณรัตนพล
นับว่าเป็นคู่สมรสที่น่ารักและเหมาะสมกันมากที่สุดคู่หนึ่ง
ผมรู้จักท่านสองท่านมานานแล้ว และรู้จักเป็นอย่างดีเพราะทั้งสองท่าน เป็นลูกน้องของผมเอง
ผมได้แอบสังเกตอย่างเงียบๆ มานานแล้วว่า ทั้งคู่มีความสนิทสนมกันมากเป็นพิเศษ
แต่ก็คิดว่าไม่มีอะไรมากไปกว่าการเป็นเพื่อนร่วมงาน จนถึงวันนี้ทั้งคู่มาพบผม
และบอกให้ผมทราบว่ากำลังจะแต่งงานกันแล้ว ซึ่งทำให้ผมรู้สึกดีใจ เป็นอย่างยิ่ง
ในโอกาสอันดีนี้
ผมอยากจะฝากข้อคิดสำหรับคู่สมรสว่า
ชีวิตสมรสจะราบรื่นได้นั้นจำเป็นที่จะต้องมีความอดทน เพราะแม้นลิ้นกับฟัน
ก็ยังมีวันกระทบกันได้ สามีและภรรยาก็เช่นเดียวกัน
หนักนิดเบาหน่อยก็ต้องให้อภัยกัน ชีวิตคู่จะมีความสุขและความเจริญก้าวหน้า
ถ้าทั้งคู่อยู่ร่วมกันด้วยความเห็นอกเห็นใจ มีความซื่อสัตย์
รู้จักวิธีถนอมน้ำใจกัน มีวาจาไพเราะต่อกัน แสดงความเห็นอกเห็นใจต่อกัน
ขยันทำมาหากิน และรู้จักเก็บหอมรอมริบ
ผมก็คิดว่าชีวิตนี้จะต้องมีความสุขตามอัตภาพอย่างแน่นอน
ท้ายที่สุดนี้
ผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย
จงดลบันดาลให้คู่บ่าวสาวประสบแต่ความสุขความเจริญในชีวิต
และรักกันตราบชั่วนิรันดร์ ไชโย! ไชโย! ไชโย!
๒. การพูดแบบอ่านจากต้นฉบับ
(Manuscript Speech)
การพูดแบบนี้ผู้พูดจะเขียนข้อความที่จะพูดลงไปในต้นฉบับ
แล้วเมื่อถึงสถานการณ์การพูดจริง ผู้พูดก็จะนำต้นฉบับนั้นมาอ่านให้ผู้ฟัง
ได้รับฟังอีกทีหนึ่ง ซึ่งวิธีการพูดแบบนี้มักใช้ในสถานการณ์การพูดทีเป็นทางการมาก
ๆ เช่น ในการกล่าวรายงานทางวิชาการการกล่าวเปิดงาน การกล่าวเปิดประชุม
การสรุปผลการประชุม การอ่านข่าวหรือบทความทางวิทยุ-โทรทัศน์
ที่ผ่านการตรวจสอบมาแล้ว การกล่าวตอบโต้ในพิธีต่างๆ หรือการกล่าวแถลง เป็นต้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การกล่าว ต่อหน้าพระพักตร์
ซึ่งถือกันว่าควรใช้วิธีการอ่านมากกว่าการพูดสด แต่ถ้าหากเป็น สถานการณ์
การพูดโดยทั่วไปเป็นทางการหรือ เป็นทางการไม่มากแล้ว ไม่ควรใช้วิธีนี้
เป็นอย่างยิ่ง เพราะอาจจะทำให้ผู้ฟัง รู้สึกเบื่อหน่าย
และหมดความรู้สึกสนใจในตัวผู้พูด อันเนื่องมาจากการที่ผู้พูดต้อง
ละสายตามาจากผู้ฟัง มาอยู่ที่ต้นฉบับตลอดเวลา ทำให้ขาดการติดต่อสื่อสาร
ทางสายตากับผู้ฟัง และข้อเสียอีกอย่างหนึ่งก็คือวิธีการพูดแบบอ่านจากต้นฉบับ
หรืออาจเรียกว่า อ่านให้ฟัง จะทำให้ผู้พูด ขาดลีลาน้ำเสียง อันมีชีวิตชีวา
และบุคลิกภาพอันเป็นตัวของตัวเอง นอกจากนั้นผู้ฟังส่วนใหญ่มักไม่ชอบการพูดแบบนี้
เนื่องจากผู้ฟังมักคิดว่าผู้พูดคงไม่เข้าใจถ่องแท้ในเรื่องที่พูดหรืออาจจะไม่ได้เขียนต้นฉบับด้วยตนองก็ได้
สำหรับประโยชน์ของการพูดแบบอ่านจากต้นฉบับอยู่ที่ว่าผู้พูดสามารถพูดในเรื่องนั้นๆ
ได้อย่างถูกต้อง ไม่มีข้อผิดพลาด อันเนื่องมาจาก การหลงลืม ความตื่นเต้น
ความประหม่า ความสับสน หรืออื่นๆ
ซึ่งเรื่องนี้นับว่าเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการพูดแบบเป็นทางการมาก ๆ
หรือการพูดต่อหน้าพระพักตร์ เนื่องจากว่าภาษาพูด
ที่เขียนไว้อย่างสมบูรณ์แบบในต้นฉบับ ย่อมสามารถเขียนได้ ไพเราะสละสลวย
และมีน้ำหนักมากกว่าการพูดแบบ ปากเปล่า และจะช่วยให้ผู้พูด เกิดความรู้สึกปลอดภัย
จากการพุดที่ผิดพลาด
ส่วนวิธีการเขียนต้นฉบับ
(Manuscript) เพื่อการพูดแบบนี้ให้สมบูรณ์แบบที่สุดนั้น
ก่อนการเขียนต้นฉบับผู้พูด ต้องเตรียมจัดทำ โครงเรื่องเสียก่อน ครั้นวางโครงเรื่อง
ได้สมบูรณ์แล้วผู้พูดจึงเขียนต้นฉบับการพูดลงไปทุกคำพูด
ดุจเดียวกับเวลาพุดกับเพื่อนๆ เมื่อเขียนต้นฉบับจบแล้ว ต้นฉบับนั้นยังไม่ถือว่า
เป็นต้นฉบับที่สมบูรณ์ ยังเป็นเพียงการร่างครั้งแรกเท่านั้น
ผู้พูดต้องอ่านทบทวนร่างนั้นหลายๆ ครั้งแล้วแก้ไข สำนวน ลีลา น้ำหนักคำ
และรูปประโยคโดยละเอียด จนเกิดความแน่ใจว่าสิ่งที่เขียนไว้นั้น
ถูกต้องตรงกับสิ่งที่เขาประสงค์จะพูด ทุกประการ แม้นว่าจะแก้ไขปรับปรุงหลายครั้งจนผู้พูดเกิดความรู้สึกพอใจในต้นฉบับของเขาแล้วก็ตาม
ผู้พูดกูควรจะทดสอบ ต้นฉบับของเขา เป็นครั้งสุดท้าย โดยการอ่าน ต้นฉบับดังกล่าว
ให้ผู้ร่วมคณะหรือเพื่อบางคนฟัง (หากหาคนฟังไม่ได้อาจอ่านออกเสียงดังๆ
ให้ตนเองฟังเพียงลำพัง คนเดียวก็ได้) การทดสอบแบบนี้จะช่วยให้การแก้ไขต้นฉบับการพุดครบถ้วยสมบูรณ์ที่สุด
เมื่อได้ต้นฉบับการพูดที่สมบูรณ์แบบตามที่ปรารถนาแล้ว
ผู้พูดควรพิมพ์ต้นฉบับโดยใช้กระดาษพิมพ์อย่างหนา ระวังอย่าให้คำผิดพลาด ปรากฏ
ต้นฉบับพิมพ์ควรสะอาด เนื้อเรื่องควรพิมพ์เป็นตอนสั้น ๆ
ข้อความแต่ละตอนต้องจบในหน้าเดียวกันไม่ควรต่อไปหน้าอื่น ริมกระดาษซ้ายมือควรเว้นว่างประมาณ
๓ นิ้ว พิมพ์เลขหน้าทุกหน้าตามลำดับ
หมายเลขขอบขวาด้วนบนเพื่อป้องกันการสลับหน้าผิด
ควรใช้ลวดเย็บต้นฉบับรวมกันเพื่อป้องกันการหลุดและสูญหาย เวลาอ่านต้นฉบับผู้พูด
ต้องอ่านโดยใช้เสียงที่เหมือนกับเสียงพูดปกติ เพราะแม้นว่าผู้พูดจะเขียนข้อความด้วยคำพูดของตนเองก็ตาม
แต่ก็ไม่แน่ว่าเวลาเขาจะอ่านออกเสียงดุจเสียงพูดตามธรรมชาติของเขาหรือไม่
ดังนั้นเขาควรพยายามที่จะ แสดงพฤติกรรมทุกประการ นับตั้งแต่การแสดงออกทาง สีหน้า
แววตา น้ำเสียง ให้กลมกลืนกับเรื่องที่อ่านมากที่สุด
ดังที่กล่าวแล้วว่าการพูดแบบอ่านจากต้นฉบับนี้ จะทำให้ผู้พูดไม่สามารถติดต่อสื่อสารทางสายตา กับผู้ฟังได้ อันเนื่องจากผู้พูด ต้องละสายตาจากผู้ฟัง มาอยู่ที่ต้นฉบับตลอดเวลา แต่ผู้พูดก็อาจแก้ปัญหาดังกล่าวได้โดยช่วงเวลาที่หยุดเว้นระยะในการพูด ก่อนที่จะอ่าน ข้อความต่อไป ผู้พูดควรเงยหน้าขึ้น มองผู้ฟังก่อนแล้วจึงอ่านต่อไป การกระทำเช่นนี้สำหรับคนเริ่มต้นฝึกหัดใหม่ๆ นับว่ายากมาก แต่เมื่อฝึกฝนบ่อย ๆ แล้วจะเกิดความชำนาญจนเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
ดังที่กล่าวแล้วว่าการพูดแบบอ่านจากต้นฉบับนี้ จะทำให้ผู้พูดไม่สามารถติดต่อสื่อสารทางสายตา กับผู้ฟังได้ อันเนื่องจากผู้พูด ต้องละสายตาจากผู้ฟัง มาอยู่ที่ต้นฉบับตลอดเวลา แต่ผู้พูดก็อาจแก้ปัญหาดังกล่าวได้โดยช่วงเวลาที่หยุดเว้นระยะในการพูด ก่อนที่จะอ่าน ข้อความต่อไป ผู้พูดควรเงยหน้าขึ้น มองผู้ฟังก่อนแล้วจึงอ่านต่อไป การกระทำเช่นนี้สำหรับคนเริ่มต้นฝึกหัดใหม่ๆ นับว่ายากมาก แต่เมื่อฝึกฝนบ่อย ๆ แล้วจะเกิดความชำนาญจนเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
ตัวอย่างการพูดแบบอ่านจากต้นฉบับ
ตัวอย่างที่ ๑
คำกล่าวรายงานการจัดการสัมมนาทางวิชาการ
เรื่อง
บทบาทของสถาบันอุดมศึกษาในการแก้ปัญหาวิกฤตสังคม
ในวันจันทร์ที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๓๙
โดย
ดร. จันทร์
วงษ์ขมทอง
ประธานกรรมการวิชาการ
สมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชาแห่งประเทศไทย
กราบเรียน
ท่านประธาน
ในนามของสมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย ใคร่ขอแสดงความขอบคุณ
ฯพณฯ องคมนตรี ที่ได้ให้เกียรติ
และสละเวลาอันมีค่าของท่านมาเป็นประธานการสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง บทบาท
ของสถาบันอุดมศึกษาในการแก้ปัญหาวิกฤตสังคม
ในวันนี้เป็นอย่างยิ่ง ดิฉันใคร่ขอกราบเรียนถึงหลักการ เหตุผล ของการจัดสัมมนา
ซึ่งเป็นเรื่องของสังคมและประเทศชาติโดยตรง เป็นเรื่องที่
ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าประเทศของเรามีปัญหาที่ร้ายแรง โดยเฉพาะเรื่องปัญหาแรงงาน
อันเกิดจากความด้อยประสิทธิภาพ ของการจัดการบริหาร
ทำให้ครอบครัวขนบทซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนาล่มสลาย ส่วนชุมชนในเมืองใหญ่
ก็เต็มไปด้วย ธุรกิจทางเพศ การล่อลวงเด็กหญิงเพื่อการค้าประเวณี และปัญหาโรคเอดส์
วัณโรค ยาบ้า อาชญากรรมแทบทุกรูปแบบ ความตายและความสูญเสียทรัพย์สิน
จากการจราจรและโรงงานอุตสาหกรรม และการทำลายแหล่งน้ำโดย โรงงานอุตสาหกรรม
และประชาชนส่วนหนึ่ง การจราจรติดขัดก่อให้เกิดผลทางลบคิดเป็นมูลค่าความสูญหายอย่างมหาศาล
มีการตัดไม้ทำลายป่า จนเหลือป่า เพียงร้อยละ ๑๘
ค่าแรงสำคัญมีราคาสูงกระทบต่อการผลิตสินค้าและการส่งออก การสาธารณูปโภค
ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญ ของการพัฒนา ไม่มีคุณภาพและไม่เพียงพอ
เป็นวิกฤตการทางสังคมซึ่งหลายฝ่ายได้พยายามแก้ไขแต่ก็ไร้ผล จนทำให้คณะกรรมการ
พัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ กำหนดแผนและเป้าหมายการพัฒนาสังคมใหม่
การสัมมนาในวันนี้ มีวัตถุประสงค์สำคัญที่จะหาข้อเสนอแนะจากผู้เข้าสัมมนาซึ่งมีความรู้ความสามารถ และประสบการณ์ด้าน อุดมศึกษา และการพัฒนาในการหาแนวทางแก้ไขและวิธีการพัฒนาให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ตามนโยบายของ แผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติฉบับที่ ๘
การสัมมนาจะเป็นการอภิปรายทั้งวัน โดยช่วงเช้าจะเป็นเรื่องสภาพปัญหา และบทบาทสถาบันอุดมศึกษาในการแก้ปัยกาเยาวชน และสวัสดิการตามความมั่นคงแห่งชาติ และสิ่งเสพติด
สำหรับช่วงบ่าย เป็นเรื่องของสุขภาพอานามัย ปัญหาศีลธรรมทางเพศ และอุบัติภัย และมลพิษสิ่งแวดล้อม
บัดนี้ได้เวลาอันเป็นอุดมฤกษ์แล้ว ดิฉันใคร่ของกราบเรียนเชิญท่านประธานได้กระทำพิธีเปิดการสัมมนา และกล่าวปราศรัย เพื่อเป็นสิริมงคล ขวัญกำลังใจ และแนวทางการสัมมนาให้บรรลุวัตถุประสงค์
ขอกราบเรียนเชิญท่านประธาน
การสัมมนาในวันนี้ มีวัตถุประสงค์สำคัญที่จะหาข้อเสนอแนะจากผู้เข้าสัมมนาซึ่งมีความรู้ความสามารถ และประสบการณ์ด้าน อุดมศึกษา และการพัฒนาในการหาแนวทางแก้ไขและวิธีการพัฒนาให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ตามนโยบายของ แผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติฉบับที่ ๘
การสัมมนาจะเป็นการอภิปรายทั้งวัน โดยช่วงเช้าจะเป็นเรื่องสภาพปัญหา และบทบาทสถาบันอุดมศึกษาในการแก้ปัยกาเยาวชน และสวัสดิการตามความมั่นคงแห่งชาติ และสิ่งเสพติด
สำหรับช่วงบ่าย เป็นเรื่องของสุขภาพอานามัย ปัญหาศีลธรรมทางเพศ และอุบัติภัย และมลพิษสิ่งแวดล้อม
บัดนี้ได้เวลาอันเป็นอุดมฤกษ์แล้ว ดิฉันใคร่ของกราบเรียนเชิญท่านประธานได้กระทำพิธีเปิดการสัมมนา และกล่าวปราศรัย เพื่อเป็นสิริมงคล ขวัญกำลังใจ และแนวทางการสัมมนาให้บรรลุวัตถุประสงค์
ขอกราบเรียนเชิญท่านประธาน
ตัวอย่างที่ ๒
คำกล่าวเปิดการสัมมนาทางวิชาการ
เรื่อง
บทบาทของการสถาบันอุดมศึกษาในการแก้ปัญหาวิกฤติทางสังคม
วันจันทร์ที่ ๑๘
พฤศจิกายน ๒๕๓๙
ฯพณฯ ดร.อำพล
เสนาณรงค์ องคมนตรี
]
ท่านผู้เข้าร่วมสัมมนาและท่านแขกผู้มีเกียรติที่เคารพทุกท่าน
กระผมรู้สึกมีความยินดีและ
เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่มีส่วนร่วมในกิจกรรมการสัมมนาทางวิชาการ ซึ่งทางสมาคม
สถาบันอุดมศึกษาเอกชน แห่งประเทศไทยและทบวงมหาวิทยาลัยจัดขึ้นในวันนี้
กระผมเห็นด้วยกับรายงานของท่านประธานกรรมการ ฝ่ายวิชาการของสมาคม
ที่ได้กล่าวว่าสังคมของเรากำลังประสบกับปัญหา ในระดับที่รุนแรงน่าวิกนยิ่ง
ท่านทั้งหลายคงทราบดีว่าหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน และประชาชนไม่น้อยได้พยายามที่จะคลี่คลายปัญหาและการจัดเตรียมแผนการทำงานใหม่ให้มีความเป็นไปได้
แต่ก็ไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร จนทำให้รู้สึกว่ายิ่งพัฒนาก็ยิ่งทำให้สังคมของเราเสื่อมลง
จึงเป็นเรื่องที่น่าสงสัยและควรทำการวิจัยศึกษาเป็นอย่างยิ่งว่า
อะไรเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การพัฒนาของเรามีปัญหาและหาแนวทางปรับปรุงแก้ไขอย่างไร
สังคมของเราจึงจะเป็นสังคมที่มีการพัฒนาที่ยั่งยืน กระผมเข้าใจว่ามหาวิทยาลัยของไทยเรามีวัตถุประสงค์ที่สำคัญ
๔ ประการ ซึ่งได้แก่ การจัดการเรียนการสอน การวิจัย การบริการสังคม
และการรักษาจรรโลงไว้ซึ่งวัฒนธรรมอันดีงามของประเทศ หลาย ๆ
มหาวิทยาลัยได้บรรลุเป้าหมายพอสมควร โดยเฉพาะในปัจจุบัน ทบวงมหาวิทยาลัย
ได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยต่างๆ ในการที่จะพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้ดียิ่งขึ้น
โดยจัดให้มี การประกันคุณภาพ และการควบคุมคุณภาพทางการศึกษา
ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญของการพัฒนา ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ
คงมีความเห็นพ้องกันว่าความก้าวหน้าของ การพัฒนาสังคมโดย มุ่งเน้นไปที่คุณภาพ
ชีวิตของคน ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญ ของแผนพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมฉบับที่ ๘
นั้นย่อมขึ้นกับตัวแปรหรือปัจจัยสำคัญหลายอย่าง กระผมตระหนักดีว่า
การศึกษาเป็นปัจจัยและ ขบวนการที่จะทำให้เกิดการพัฒนาที่แท้จริงได้ หมายความว่า
เราจะต้องใช้สาระทางวิชาการ และขบวนการทางการศึกษา ที่จะทำให้เด็ก
และเยาวชนได้รู้ได้เข้าใจสาระความเป็นจริงของแก่นสารของชีวิตรู้จัก
และเข้าใจธรรมชาติและสามารถใช้ทรัพยากรสิ่งแวดล้อม
แต่ถ้ามีก็จะเป็นการสูญเสียเพียงเล็กน้อย
ขณะเดียวกันเราก็ต้องพยายามค้นคว้าหาสิ่งใหม่มาทดแทนสิ่งที่กำลังจะหมดไป
และเป็นสิ่งที่ มีราคาค่าใช้จ่าย น้อยลง เพื่อให้เกิดการสมดุล การที่เราจำเป็นจะต้องทำเช่นนี้
ก็เพราะคนเรากับธรรมชาติแยกกันไม่ได้ ต้องมีลักษณะ พึ่งพาซึ่งกันและกัน
นั่นหมายความว่า การทำลายทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม ก็คือการทำลายตนเอง ครอบครัว
และสังคม ซึ่งเกิดปัญหา หลายประการ ดังที่สมาคม ได้กล่าวถึง
จึงเป็นเรื่องที่ทุกคนจะต้องช่วยกันหาทางแก้ไขปัญหาให้ได้ ผมขอกล่าวเพิ่มเติม
อีกเล็กน้อยว่าการจัดการการศึกษาที่ดีที่เหมาะสม
จะต้องกระทำในทุกระดับโดยเฉพาะในการศึกษาขั้นพื้นฐาน เปรียบเสมือน การปลูกต้นไม้
หากการเตรียมดิน การจัดการสิ่งแวดล้อม และการดูแลรักษาต้นไม้ ไม่ดีไม่ถูกต้อง เราก็จะไม่ได้รับประโยชน์
จากการปลูกต้นไม่นั้น ขณะเดียวกันก็จะเป็นผลร้ายด้วยซ้ำไป
ดังนั้นการที่เราจะปล่อยปละละเลย ไม่ดำเนินการจัดการ พัฒนาให้ถูกต้อง
มาตั้งแต่เล็กๆ เมื่อเขาเติบโตขึ้นก็จะเป็นปัญหาของสังคมดังที่ปรากฏอยู่ ดังนั้นในการสัมมนาในวันนี้
ท่านทั้งหลายคงจะได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดความเห็น
ในเรื่องบทบาทของสถาบันอุดมศึกษา ในการแก้ปัญหาวิกฤติทางสังคม
เพื่อเป็นพื้นฐานและแนวทางในการแก้ปัญหาหาต่อไป กระผมมั่นใจว่าผลการสัมมนาครั้งนี้
จะบรรลุวัตถุประสงค์ ตามที่ตั้งไว้ทุกประการ บัดนี้ได้เวลาอันสมควรแล้วกระผมของเปิดการสัมมนาทางวิชาการ
เรื่องบทบาทของสถาบันอุดมศึกษา ในการแก้ปัญหาวิกฤติ ทางสังคม ณ บัดนี้
ขออวยพรให้การสัมมนาจงดำเนินไปด้วยดีได้ผลสมปรารถนาอันจะเป็นประโยชน์ต่อการแก้ปัญหาวิกฤติทางสังคม
และเป็นแนวทางในการดำเนินงาน ที่จะทำให้ประเทศของเราบรรลุขั้นการพัฒนาแบบยั่งยืนต่อไป
และขอความสุขสวัสดีจงมีแก่ผู้เข้าร่วมสัมมนาทุกท่าน
ขอขอบคุณ
๓. การพูดแบบพูดจากการท่องจำ
(Memorized Speech)
ถ้าจะกล่าวให้ถูกต้องแล้ว
การพูดแบบนี้ถือเป็นการ ท่อง มากกว่า
เพราะเกิดจาการท่องจำถ้อยคำที่เขียนไว้เป็นต้นฉบับสมบูรณ์ (Manuscript) หรือท่องจำแบบคำต่อคำนั่นเอง
ถ้าจะวิเคราะห์คุณค่าทางวาทศาสตร์หรือศาสตร์แห่งการพูดแล้วการพูดแบบนี้มีคุณค่าน้อย
การพูดแบบนี้นักพูดไม่นิยมใช้กันเพราะเป็นรากฐานที่จะทำให้ผู้พูด
เกิดความกังวลใจและความเคร่งเครียด อันเนื่องมาจาก ผู้พูดก็ไม่แน่ใจว่า
จะจดจำคำพูดได้ทุกถ้อยคำหรือเปล่า และถ้าหากเกิดการผิดพลาด
หลงลืมขึ้นมากลางคันผู้พูดก็จะเกิดความระหม่า และอาจไม่สามารถแก้ปัญหา
เฉพาะหน้าได้ หรือแม้แต่เกิดการผิดพลาดขึ้นผู้ฟังจับได้ว่าเป็นการ ท่อง
เพระเสียงของผู้พูดจะราบเรียบเป็นทำนองเดียว (Monotonous) สายตาก็อาจจะไม่มองผู้ฟัง
ท่าทางประกอบก็อาจจะไม่มีทำให้ผู้ฟังเกิดความเบื่อหน่ายและขาดความเชื่อถือต่อผู้พูดขึ้นได้
ดังนั้นผู้พูดที่จึงควรหลีกเลี่ยงการพูดแบบท่องจำต้นฉบับทั้งหมด
แต่อาจใช้วิธีการท่องจำเพียงเล็กน้อยหรือเพียงบางส่วน (Quotation) เท่านั้น จะดีกว่า
๔. การพูดแบบพูดโดยการเตรียมตัวหรือการพูดจากความเข้าใจ
(Extemporaneous Speech)
เป็นการพูดจากใจ
จากภูมิรู้ และจากความรู้สึกจริง ๆ ของผู้พูดเอง
เป็นการพูดที่นิยมใช้กันมากที่สุดเพราะมีข้อดีหลายประการ คือ
– เป็นตัวของตัวเอง
– เป็นตัวของตัวเอง
-
พรั่งพรู
-
เป็นธรรมชาติ
- เร้าใจ
- จริงใจ
- แสดงภูมิรู้ของตนเอง
- ยืดหยุ่นให้เหมาะสมกับเวลาได้
- ตอบปัญหาผู้ฟังและแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้
ซึ่งก่อนการพูดแบบนี้ผู้พูดต้องเตรียมตัวในการคัดเลือกหัวข้อเรื่อง ค้นหาเนื้อเรื่อง แนวคิดและตัวอย่าง จากนั้นเรียบเรียงเนื้อเรื่อง แนวคิด และตัวอย่างให้สมบูรณ์และอ่านให้เข้าใจถ่องแท้เสียก่อน โดยมีขั้นตอนการดำเนินการเตรียมตัว ดังนี้
- เร้าใจ
- จริงใจ
- แสดงภูมิรู้ของตนเอง
- ยืดหยุ่นให้เหมาะสมกับเวลาได้
- ตอบปัญหาผู้ฟังและแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้
ซึ่งก่อนการพูดแบบนี้ผู้พูดต้องเตรียมตัวในการคัดเลือกหัวข้อเรื่อง ค้นหาเนื้อเรื่อง แนวคิดและตัวอย่าง จากนั้นเรียบเรียงเนื้อเรื่อง แนวคิด และตัวอย่างให้สมบูรณ์และอ่านให้เข้าใจถ่องแท้เสียก่อน โดยมีขั้นตอนการดำเนินการเตรียมตัว ดังนี้
๑. ขั้นเตรียมตัวทั่วไป
ได้แก่
การที่ผู้พูดพยายามหาความรู้ อ่านมาก ฟังมาก
เพราะผู้ที่มีความรู้กว้างขวางมักเป็นนักพูดที่ดี ความรู้ในเรื่องต่างๆ
จะช่วยให้การพูดสนุกสนานน่าฟังและช่วยสร้างศรัทธาแก่ผู้ฟังด้วย
๒. ขั้นเตรียมตัวเฉพาะคราว
ได้แก่
การที่ผู้พูดเตรียมตัวพูดเฉพาะในคราวใดคราวหนึ่ง ซึ่งมีขั้นตอนวิธีการดังนี้
๒.๑ เมื่อได้รับเชิญให้พูด ผู้พูดต้องมีวิธีการเตรียมตัวล่วงหน้าพอสมควร
ถ้าสามารถเลือกเรื่องที่จะพูดเองได้ผู้พูดควรเลือกเรื่องที่เหมาะสมกับตัวเอง
เหมาะสมกับผู้ฟัง
และเหมาะสมกับโอกาสที่จะพูดจากนั้นจึงค่อนรวบรวมเอกสารหรือความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่จะพูด
เรียก ขั้นนี้ว่าขั้นเตรียมการ (Invention)
๒.๒
เมื่อได้เอกสารหรือข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่จะพูดแล้ว
ผู้พูดก็จะจัดเนื้อหาให้เหมาะสมว่า คำนำ เนื้อเรื่อง
และสรุปควรจะมีเนื้อหาสาระอะไรบ้าง คัดมาจากเอกสารฉบับใดบ้าง
อะไรที่ไม่เหมาะสมก็ตัดทิ้งไป เรียกขั้นนี้ว่าขั้นรวบรวม (Disposition)
๒.๓
เมื่อเตรียมเนื้อเรื่องในแต่ละตอนแล้วผู้พูดจะต้องเตรียมต่อไปว่าเนื้อเรื่องในแต่ละตอนนั้น
ควรจะพูดอะไรก่อนหลัง ควรใช้สำนวนโวหารอย่างไร ใช้ภาษาระดับใดจึงจะเหมาะสม
กับผู้ฟัง เรียกขั้นนี้ว่าขั้นวิธีการ (Style)
๒.๔
เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว เราก็จัดเรื่องที่จะพูดให้เป็นส่วนๆ โดยมีคำนำ เนื้อเรื่อง
และ สรุป เรียกขั้นนี้ว่าขั้นโครงเรื่อง (Form)
๒.๕
เมื่อผู้พูดได้เรื่องที่เหมาะสมที่จะพูดแล้ว
หากนำไปพูดทันทีอาจจะพบปัญหาบางอย่างได้
ดังนั้นผู้พูดจึงต้องทดลองพูดด้วยตนเองเสียก่อน เรียกขั้นนี้ว่าขั้นฝึกซ้อม (Rehearsing)
ในการพูดแบบนี้หากผู้พูดกลัวว่าจะลืมเนื้อเรื่องที่เตรียมไว้
ผู้พูดอาจบันทึกสั้นๆ นำติดตัวขึ้นไปพูดด้วย หากตอนใดผู้พูด
เกิดการหลงลืมก็อาจหยิบบันทึกนั้นขึ้นมาดูเพื่อให้สามารถพูดได้อย่างต่อเนื่องไม่ขาดตอน
ซึ่งวิธีการบันทึก และการใช้บันทึกในเวลาพูด ผู้พูดควรปฏิบัติดังนี้
๑) การเตรียมบันทึก
ในบันทึกนั้นจะประกอบด้วย
ลำดับขั้นตอนแนวคิดที่จะเสนอต่อผู้ฟัง โดยทั่วไปมักเขียนไว้เพียงคำเดียวหรือ
สองคำเท่านั้น เพื่อช่วยความจำ บันทึกที่ดีควรทำด้วยกระดาษการ์ดแข็งเพราะใช้สะดวก
บนมุมกระดาษการ์ด ควรเขียน เลขกำกับบอกแผ่นไว้ เช่น ๑-๒-๓-๔ ฯลฯ
(๒) การใช้บันทึกเวลาพูด
เมื่อผู้พูดก้าวขึ้นไปยืนบนเวทีผู้พูดควรวางกระดาษไว้บนโต๊ะ
หรือถือไว้ในมือในลักษณะที่ไม่เกะกะ เมื่อต้องการจะ ใช้กระดาษบันทึก
ผู้พูดควรหยิบกกระดาษบันทึกมาอ่านโดยตรงหรือมิเช่นนั้นอาจจะอ่านบันทึกในลักษณะที่คนฟังไม่เห็นบันทึก
คือ วางอ่านกับโต๊ะนั่นเอง อนึ่งผู้พูดอย่าไปมัวพึ่งบันทึกอย่างเดียว
ก่อนการพูดผู้พูดควรทบทวนเนื้อเรื่อง หัวข้อ ขั้นตอน และแนวคิดจนจำได้ตลอด
เมื่อทำได้เช่นนี้ผู้พูดจะกลายเป็น นาย ของเรื่องที่พูดโดยละเอียด
หลักการทั่วไปในการเตรียมตัวเพื่อเป็นนักพูดที่ดี]
เท่าที่ผ่านมามีนักวิชาการทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ
ได้ให้หลักเกณฑ์สำหรับการฝึกฝนการพูดเอาไว้มากมาย ซึ่งล้วนแล้วแต่งมีสารประโยชน์
ทั้งสิ้น แต่เนื่องจาก เนื้อที่ในหนังสือเล่มนี้มีจำกัด
ผู้เรียบรียงจึงใคร่ของนำเสนอเฉพาะหลักการฝึกฝนการพูดของนักวิชาการบางท่านที่น่าสนใจ
และไม่ยุ่งยากในการทำควรเข้าใจ อาทิเช่น
๑. หลักสิบประการของสมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
๑.๑ จงเตรียมพร้อม
๑.๒ จงเชื่อมั่นในตนเอง
๑.๓ จงปรากฏตัวอย่างสง่าผ่าเผย
๑.๔
จงพูดโดยใช้เสียงอันเป็นธรรมชาติ
๑.๕
จงใช้ท่าทางประกอบการพูดให้พอเหมาะ
๑.๖
จงใช้สายตาให้เป็นผลดีต่อการพูด
๑.๗ จงใช้ภาษาที่ง่ายและสุภาพ
๑.๘ จงใช้อารมณ์ขัน
๑.๙ จงจริงใจ
๑.๑๐ จงหมั่นฝึกฝน
๒. หลักเบื้องต้นเจ็ดประการ
ของ ซาเร์ทท์ และ ฟอสเตอร์
ซาเร์ทท์ (Sareet)
และ ฟอสเตอร์ (Foster) ได้ให้หลักเบื้องต้น ๗
ประการสำหรับฝึกในการพูดไว้ดังต่อไปนี้
๒.๑
การพูดที่ดีมิใช่เป็นการแสดง แต่เป็นการสื่อความหมาย
๒.๒
ผลสำคัญของการพูดที่ดี ก็คือ การสร้างปฏิกิริยาตอบสนองจากผู้ฟังได้สำเร็จ
๒.๓
ผู้พูดที่ดีย่อมรู้จัดวิธีการต่างๆ
ในการพูดเพื่อที่จะทำให้ผู้ฟังเกิดความใส่ใจอย่างเต็มที่เมื่อผู้พูดต้องการ
๒.๔
การพูดที่ดีต้องมีลักษณะเป็นธรรมชาติ ตรงไปตรงมาง่ายๆ
เป็นกันเองมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
๒.๕ ผู้พูดที่สามารถ คือ
บุคคลที่สามารถเป็นผู้มีเสถียรภาพทางอารมณ์ มีทัศนคติที่ดีต่อตนเองและต่อผู้ฟัง
๒.๖
การที่ผู้ฟังจะมีความรู้สึกประทับใจอย่างใดอย่างหนึ่งต่อผู้พูดนั้น
ขึ้นอยู่กับลักษณะต่างๆ ในตัวผู้พูดเอง
โดนเฉพาะลักษณะที่ ไม่ใคร่ปรากฏ เด่นชัด
๒.๗
อิริยาบถที่เหมาะสมเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่ง ที่ช่วยทำให้เกิดการพูดนั้น ๆ
เป็นการพูดที่ดี
๓. หลักบันได
๗ ขั้นของการพูด ของ ดร.นิพนธ์ ศศิธร
ดร.นิพนธ์ ศศิธร ได้กล่าวถึงบันได ๗
ขั้นที่จะนำไปสู่ความสำเร็จแห่งการเป็นนักพูดที่ประสบความสำเร็จ ดังนี้
๓.๑ การรวบรวมเนื้อหาที่จะพูด
๓.๒ การจัดระเบียบเรื่อง
๓.๓ การหาข้อความอื่นๆ
มาประกอบหรือขยายความออกไป
๓.๔ การเตรียมอารัมภบทหรือบทนำ
๓.๕ การเตรียมบทสรุป
๓.๖ การซักซ้อมการพูด
๓.๗ การแสดงการพูด
ซึ่งบันไดทั้ง ๗
ขั้นของการพูดข้างต้น มีเนื้อหาที่น่าสนใจ
ผู้เรียบเรียงจึงขอสรุปและเรียบเรียงมาไว้ ให้เห็นพอสังเขปดังนี้
บันไดขั้นที่หนึ่ง : การรวบรวมเนื้อหาสาระที่จะพูด
ความสำเร็จในการพูดอยู่ที่การผสมกลมกลืนอย่างแนบสนิทระหว่างความรู้สึกและเหตุผล
ดังนั้น การเตรียมตัวที่ดี
จึงควรเริ่มต้นจากข้อกำหนดและความคิดเห็นของผู้พูดเสียก่อน
แล้วเอาสิ่งเหล่านี้มาทำเป็นโครงร่างไว้ จากนั้นจึงค้นคว้าหาข้อเท็จจริงอื่นๆ
มาประกอบให้สมบูรณ์ต่อไป บันไดขั้นที่ ๑ ประกอบด้วยขั้นตอนต่างๆ ดังนี้
๑. เริ่มต้นด้วยความคิดก่อนว่าในเรื่องที่จะพูดก่อนนั้นมีเนื้อหาอะไรบ้างที่รู้ดีอยู่แล้ว
และยังมีอะไรอีกบ้างที่ยังไม่รู้และจะต้องค้นคว้าต่อไป
๒. รวบรวมเนื้อหาจากการสังเกตการณ์
การสังเกตการณ์ที่ดีจะต้องกระทำด้วยตนเองโดยตรงอย่างครบถ้วน ถูกต้องแม่นยำ
และปราศจากความลำเอียง ต้องสามารถแยกจุดเด่นจากการสังเกตการณ์ที่ได้มาให้ได้
๓. รวบรวมเนื้อหาจากการติดต่อกับบุคคลอื่น
โดยการสนทนา การสัมภาษณ์ หรือการติดต่อทางจดหมาย
แต่ละอย่างก็มีหลักเกณฑ์โดยเฉพาะออกไปอีก ซึ่งจะไม่กล่าวไว้ ณ ที่นี้ ๔. รวบรวมเนื้อหาจากการอ่าน
ต้องอ่านให้เป็นไม่ใช้ตะลุยอ่านไปโดยไม่มีหลักเกณฑ์จะเสียเวลาโดยไม่มีประโยชน์
บันไดขั้นที่สอง : การจัดระเบียบเรื่อง
บันไดขั้นที่ ๒ ประกอบด้วยขั้นตอนต่างๆ
ดังนี้
๑. การเขียนโครงเรื่อง เพื่อเป็นหลักในการดำเนินการขยายความเพิ่มเติมต่อไป
อย่างมีระเบียบ และมีความต่อเนื่องกัน โดยการรวบรวมและแบ่งแยกแนวความคิดใหญ่ ๆ
ออกเป็นหมวดหมู่เป็นข้อย่อย ๆ ลดหลั่นกันไป
๒. การจัดระเบียบเนื้อเรื่องที่จะพูด เป็นการเลือกใจความสำคัญของเรื่อง จดบันทึกแล้วแยกแยะ ให้เข้าหมวดหมู่ ตามความเหมาะสมต่อไป มี ๖ แบบให้เลือกกระทำดังนี้
๒. การจัดระเบียบเนื้อเรื่องที่จะพูด เป็นการเลือกใจความสำคัญของเรื่อง จดบันทึกแล้วแยกแยะ ให้เข้าหมวดหมู่ ตามความเหมาะสมต่อไป มี ๖ แบบให้เลือกกระทำดังนี้
๒.๑ เรียงตามลำดับเวลา
๒.๒ เรียงตามลำดับสถานที่
๒.๓ เรียงตามลำดับเรื่อง
๒.๔ แบบเสนอปัญหาและวิธีแก้
๒.๕ แบบแสดงเหตุและผล
๒.๖ แบบเสนอเป็นข้อเท็จจริง
แบบต่างๆ ทั้ง ๖ แบบที่กล่าวนี้
อาจเลือกใช้แบบใดแบบหนึ่งหรือหลายแบบผสมกันไปก็ได้
บันไดขั้นที่สาม : การหาข้อความอื่น ๆ มาประกอบหรือขยายความออกไป
มีหลักในการปฏิบัติดังนี้
๑. หารูปแบบของการขยายความ โดยอาจใช้วิธีการดังนี้
๑.๑
โดยการยกอุทาหรณ์หรือตัวอย่าง
๑.๒ โดยการใช้สติ
๑.๓ โดยการเปรียบเทียบหรืออุปมา
๑.๔
โดยการอ้างอิงคำพูดหรือคำกล่าวของบุคคลอื่นที่มีน้ำหนักในเรื่องนั้นๆ
๑.๕
โดยการกล่าวซ้ำหรือย้ำโดยเปลี่ยนวิธีการพูดใหม่
๑.๖
โดยการอธิบายเพิ่มเติมให้กระจ่างแจ้ง
๑.๗
โดยการใช้เหตุผลตามหลักตรรกวิทยา
๒. การใช้ทัศนูปกรณ์กระกอบ ต้องใช้เหมาะสม
ไม่ใช้พร่ำเพรื่อ หรือเบี่ยงเบนความสนใจ ของผู้ฟังออกไป จากเรื่องที่พูดนั้น
๓. ข้อความที่จะนำมาขยายหรือประกอบนั้น จะต้องเสริมสร้างความสนใจของผู้ฟังให้ตั้งใจฟังมากยิ่งขึ้น
ดังนั้นเรื่องหรือ ข้อความที่ยกมาจะต้องมีลักษณะดังนี้
๓.๑ เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์หรือความเป็นอยู่ของผู้ฟังมากที่สุด
๓.๒
ทำให้ผู้ฟังเห็นภาพหรือเข้าใจชัดเจนจริง ๆ
๓.๓
เป็นเรื่องที่สำคัญหรือโดดเด่น
๓.๔
ไม่ทำให้ผู้ฟังเปลี่ยนความสนใจ หรือเปลี่ยนอารมณ์ของผู้ฟังไปในทางที่ไม่ต้องการ
๓.๕ ถ้าเป็นเรื่องขำขัน
ต้องสุภาพ ไม่ก้าวร้าวผู้ฟัง และเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องไม่ใช่ออกนอกเรื่อง
บันไดขั้นที่สี่ : การเตรียมอารัมภบทหรือบทนำ
มีหลักในการปฏิบัติดังนี้
๑. การใช้
คำนำ เพื่อเรียกร้องให้เกิดความสนใจมีความสำคัญมากที่สุด
การเรียกร้องให้เกิดความสนใจ อาจกระทำได้ โดยวิธีการต่างๆ ดังเช่น
๑.๑
เน้นถึงความสำคัญของเรื่องที่จะพูด
๑.๒ ใช้เรื่องหรือคำพูดที่คำขัน
แต่อย่าใช้มากจนทำให้ผู้พูดเป็นตัวตลกจนเกินไป
๑.๓
ยกอุทาหรณ์ที่ตรงกับเรื่องหรือไม่ออกนอกเรื่อง
๑.๔
เริ่มด้วยการยกข้อความหรือคำพูดที่ก่อให้เกิดความตื่นใจ ซึ้งใจ หรือไพเราะ
๑.๕ กล่าวถึงความรู้สึก
ความเชื่อถือ ผลประโยชน์ หรือความเป็นอยู่ร่วมกัน
ก่อให้เกิดความรู้สึกเป็นพวกเดียว
กัน ไม่ใช่ศัตรูกัน
๑.๖ กล่าวนำด้วยการตั้งปัญหาที่เร้าใจ
๑.๖ กล่าวนำด้วยการตั้งปัญหาที่เร้าใจ
๑.๗ ใช้คำพูดที่เร้าใจ
หรือไพเราะน่าสนใจ
๑.๘ กล่าวสรรเสริญยกย่องผู้ฟัง
๒. การทำให้เรื่องกระจ่างขึ้น
๒.๑ กล่าวถึงจุดใหญ่ ๆ ที่จะพูด
๒.๒
กล่าวถึงหัวข้อเรื่องที่สำคัญ
๒.๓
พรรณนาถึงเบื้องหลังหรือประวัติของเรื่องนั้น ๆ
๓. ข้อที่ไม่ควรกระทำ
๓.๑
ออกตัวหรือขอโทษว่าเตรียมตัวมาไม่พอ หรือมีความรู้ไม่ดีพอ
๓.๒ พูดเยิ่นเย้อวกวนไปมา
๓.๓ พูดจาเป็นเชิงดุแคลนผู้ฟัง
๓.๔ พูดออกนอกเรื่อง
บันไดขั้นที่ห้า : การเตรียมบทสรุป
ประกอบด้วยหลักการสำคัญ ๆ ดังนี้
๑.๑
กล่าวถึงข้อใหญ่ใจความของเรื่องทั้งหมด
๑.๒
เรียงลำดับหัวข้อความคิดที่ได้กล่าวมาแล้ว
๑.๓ อธิบายทบทวน
๒. เร้าใจให้เกิดผลตามที่ต้องการ
๒.๑
ใช้เฉพาะการพูดที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อจูงใจผู้ฟังเท่านั้น
๒.๒
แสดงให้ชัดเจนว่าต้องการให้ผู้ฟังทำอะไร
๒.๓
จะต้องชักจูงทั้งอารมณ์และเชาวน์ปัญญาของผู้ฟัง
๓. ข้อที่ควรหลีกเลี่ยงในการสรุป
๓.๑ ขอโทษว่าเตรียมตัวมาไม่พอ
หรือมีความรู้ไม่ดีพอ
๓.๒ สรุปสั้นเกินไป
หรือเยิ่นเย้อเกินไป
๓.๓ เสนอความคิดใหม่ที่สำคัญขึ้นมา
๓.๔ พูดออกนอกเรื่อง
๓.๕ ทำให้ผู้ฟังขาดความสนใจ
บันไดขั้นที่หก : การซักซ้อมการพูด
มีความสำคัญมาก
เพราะทำให้ผู้พูดจำเนื้อหาที่จะพูดได้ ไม่ประหม่า
และมีท่าทางเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น ในขั้นนี้ผู้พูดต้องคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้
๑. ซ้อมที่ไหน
๒. ซ้อมเมื่อไร
๓. ซ้อมอย่างไร แบ่งออกเป็น
๓.๑ กำหนดการพูด น้ำเสียง
และท่าทาง
๓.๒ ปรับปรุงถ้อยคำให้สละสลวย
บันไดขั้นที่เจ็ด : การแสดงการพูด
แบ่งออกเป็น ๒ ส่วน
ส่วนที่ ๑
หลักการทั่วไป
๑. หลักการทั่วไปสำหรับการแสดงการพูด
มีข้อควรปฏิบัติดังนี้
๑.๑ พูดให้ผู้ฟังเกิดภาพพจน์และเข้าใจชัดแจ้ง
๑.๒
พูดให้เข้ากับสถานการณ์ทั้งหมด
๑.๓ พูดจากใจจริง
๑.๔ สุภาพ ไม่อวดอ้าง
๑.๕ มีความเชื่อมั่น
และก่อให้เกิดความมั่นใจแก่ผุ้ฟัง
๑.๖
ไม่ทำให้ผู้ฟังหลงเพลินแต่เฉพาะน้ำเสียงหรือท่าทางเท่านั้น
๑.๗ มีชีวิตชีวา
ส่วนที่ ๒
การใช้กิริยาท่าทางประกอบ
การใช้กิริยาท่าทางประกอบ
มีความสำคัญเนื่องจาก
๑. ช่วยให้ปรับตัวเป็นปกติได้ดีขึ้น
๒. ช่วยกระตุ้นให้ผู้ฟังเกิดความสนใจ
๓. ช่วยให้แสดงความหมายได้ชัดเจนขึ้น
๔. ช่วยในการเน้นหนักต่างๆ
๔. หลักชัยแห่งการพูดของ
เดล คาร์เนกี
๔.๑
จงทำให้เรื่องที่พูดชัดเจนจนแจ่มกระจ่าง
๔.๒
จงทำให้เรื่องที่พูดสนุกสนานและไม่น่าเบื่อ
๔.๓
จงพูดโน้มน้าวและชักชวนจนทำให้เกิดการปฏิบัติ
๔.๔ จงทำให้การพูดประทับใจผู้ฟัง
ขั้นตอนและวิธีการปฏิบัติในการฝึกฝนการพูด
มีนักพูดและนักวิชาการหลายท่านได้เสนอแนะวิธีการฝึกฝนการพูดเอาไว้
คล้ายคลึงกันบ้างแตกต่างกันบ้าง ยกตัวอย่างให้ศึกษา และเปรียบเทียบกัน เพียง ๓
ท่าน คือ ทินวัฒน์ มฤคพิทักษ์ ดร.สวัสดิ์ บรรเทิงสุข
และเพียรศักย์ ศรีทอง ซึ่งแต่ละท่านก็ได้เสนอแนะวิธีการ ในการฝึกฝนการพูดเอาไว้
แตกต่างกันไป แต่ก็ทำให้เราได้รับความรู้ในการพัฒนาตนเองอย่างกว้างขวาง
ท่านแรกที่จะกล่าวถึงคือ ทินวัฒน์ มฤคพิทักษ์ ได้กล่าวถึงวิธีการฝึกฝน การพูดว่า
สารถกระทำได้ ๓ วิธี คือ
๑. การฝึกพูดด้วยวิธีธรรมชาติ
๒. การฝึกพูดจากตำรา
๓. การฝึกพูดโดยผู้แนะนำ
ซึ่งแต่ละวิธีพอสรุปได้ดังนี้
วิธีแรก การฝึกพูดด้วยวิธีธรรมชาติ หมายถึง การฝึกฝนด้วยตนเอง
ผู้พูดต้องชอบพูดชอบแสดงออก เก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปเรื่อย ๆ ให้มี ชั่วโมงบิน มาก
ๆ ก็อาจกลายเป็นนักพูดที่ดีได้
ยิ่งถ้ามีปฏิญาณไหวพริบดีด้วยก็อาจจะจับหนทางได้เร็วและประสบความสำเร็จได้ไม่ยากนัก
แต่วิธีนี้ต้องใช้เวลาพอสมควร
วิธีที่สอง การฝึกพูดจากตำรา โดยอาศัยตำราซึ่งมีผู้เขียนไว้มากมายทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ผู้พูดสามารถเลือกอ่าน ศึกษาได้ตามใจชอบ ที่สำคัญผู้ที่ศึกษาจากตำรานั้นต้องหาโอกาสฝึกปฏิบัติจริง ๆ โดยอาจฝึกจากงานสังคมต่าง ๆ หรือฝึกในงานอาชีพของตนเองก็ได้ โดยถ้านำความรู้และ เทคนิคใหม่ ๆ จากตำรามาใช้ประกอบด้วยก็จะทำให้เก่งเร็วขึ้น
วิธีที่สอง การฝึกพูดจากตำรา โดยอาศัยตำราซึ่งมีผู้เขียนไว้มากมายทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ผู้พูดสามารถเลือกอ่าน ศึกษาได้ตามใจชอบ ที่สำคัญผู้ที่ศึกษาจากตำรานั้นต้องหาโอกาสฝึกปฏิบัติจริง ๆ โดยอาจฝึกจากงานสังคมต่าง ๆ หรือฝึกในงานอาชีพของตนเองก็ได้ โดยถ้านำความรู้และ เทคนิคใหม่ ๆ จากตำรามาใช้ประกอบด้วยก็จะทำให้เก่งเร็วขึ้น
วิธีสุดท้าย การฝึกพูดโดยมีผู้แนะนำ หมายถึง
การมีพี่เลี้ยงดี ๆ คอยให้คำแนะนำ อาจจะเป็นการแนะนำซักซ้อมให้เป็นการส่วนตัว
เป็นครั้งคราว หรือจัดกลุ่มฝึกพูดขึ้น โดยมีการฝึกฝนกันเป็นประจำก็ได้
ท่านต่อไป คือ ดร.สวัสดิ์ บรรเทิงสุข ได้กล่าวถึงวิธีการฝึกฝนการพูดไว้อย่างละเอียดว่าสมารถกระทำได้ ๒ วิธีคือ
ท่านต่อไป คือ ดร.สวัสดิ์ บรรเทิงสุข ได้กล่าวถึงวิธีการฝึกฝนการพูดไว้อย่างละเอียดว่าสมารถกระทำได้ ๒ วิธีคือ
๑. การฝึกพูดแบบไม่เป็นทางการ
๒. การฝึกพูดแบบเป็นทางการ
ซึ่งแต่ละวิธีผู้เรียบเรียงใคร่ของนำเสนอไว้พอสังเขป
ดังนี้
วิธีแรก
การฝึกพูดแบบไม่เป็นทางการ
การฝึกพูดแบบไม่เป็นทางการ
หมายถึง การฝึกพูดที่มิได้จัดเป็นรูปแบบที่แน่นอน ซึ่งได้แก่ การฝึกพูดด้วยตนเอง
การฝึกพุดเช่นนี้ ผู้พูดต้องอาศัย
ความอดทนอย่างยอดเยี่ยมประกอบกับความตั้งใจจริงเป็นพลังอันสำคัญ
ข้อแนะนำสำหรับการฝึกพูด แบบไม่เป็นทางการ หรือการฝึกพูดด้วยตนเองนั้น มีลำดับขั้นในการปฏิบัติดังนี้
๑. จงเป็นนักอ่านที่ดี
โดยการอ่านตำราและข้อแนะนำการพูดให้มากที่สุดเท่าที่สามารถจะทำได้
๒. จงเป็นนักฟังที่ดี โดยการติดตามฟังการพูดในทุกโอกาสให้มากที่สุดเท่าที่สามารถจะทำได้
ทั้งการพูดของนักพูดที่มีชื่อเสียงและนักพูดทั่ว ๆ ไปแล้วพยายามวิเคราะห์ว่าสิ่งใดที่ผู้พูดทำได้เหมาะสมหรือสิ่งใดไม่ควรทำ
๓. จงใช้เครื่องบันทึกเสียงให้เป็นประโยชน์
โดยการบันทึกการพูดที่ดีเอาไว้
แล้วเปิดฟังให้บ่อยที่สุดจนจำได้ขึ้นใจว่าตอนใดเป็นตอนที่ดีที่สุด ตอนใดเด่น
ตอนใดด้อย เพราะเหตุใด
๔. จงบันทึกเสียงพูดของท่าน โดยการบันทึกทั้งการพูดในที่ชุมนุมชน
และการพูดคนเดียว แล้วเปิดฟังบ่อย ๆ ให้ขึ้นใจว่าตอนใดว่าด้อย ตอนใดเด่น
เพราะเหตุใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องเดียวกัน จงบันทึกและฟังเสียงของท่านเองหลาย
ๆ ครั้ง เพื่อที่จะได้พยายามแก้ไขข้อบกพร่องให้ได้
๕. จงพยายามหาโอกาสฝึกพูดต่อหน้ากระจกเงา โดยการพูดแลฝึกฝนการใช้ท่าทางประกอบโดยไม่กระดากอายหรือเคอะเขิน
เพราะวิธีนี้จะเป็นวิธีที่ได้ผลมากที่สุดวิธีหนึ่ง
๖. จงเริ่มฝึกหัดด้วยความมุ่งมั่นจากง่ายไปหายามเป็นลำดับ ดังนี้
๖.๑ การพูดให้คำจำกัดความสิ่งที่เป็นรูปธรรม
๖.๒ การพูดอธิบายคำพังเพยหรือภาษิต
๖.๓ การพูดเพื่อให้คำจำกัดความสิ่งที่เป็นนามธรรม
๖.๔ การพูดเพื่อให้เหตุผลสนับสนุน
๖.๕ การพูดเพื่อให้เหตุผลคัดค้าน
๖.๖ การพูดในเชิงอภิปรายหรือวิจารณ์
๗. จงฝึกเขียนประกอบการฝึกพูด โดยการร่างประกอบให้ครอบคลุมสิ่งที่พูดไว้ทั้งหมดแล้วอ่านซ้ำหลาย
ๆ เที่ยว หลังจากนั้นจงฝึกพูดจากบันทึก
จนกระทั่งพูดโดยไม่มีบันทึกหรือใช้บันทึกแต่น้อย
๘. จงอย่าละเลยเมื่อมีโอกาสที่จะได้พูดจริง ๆ
ต่อหน้าผู้ฟัง โดยการเตรียมตัวให้มากจนเกิดความมั่นใจ
บางตอนที่สำคัญท่านจะต้องท่องจำให้ได้ โดยเฉพาะการขึ้นต้น และการจบจะต้องท่องจำเอาไว้ให้ได้
๙. จงเป็นตัวของตัวเอง โดยไม่ลอกเลียนแบบอย่างใด
ๆ ไปทั้งหมด จงนึกอยู่เสมอว่าท่านมิได้กำลังพูดแทนใคร แลไม่มีใครพูดแทนท่านได้
ท่านล้มเหลวในแบบของท่านเองดีกว่าท่านชนะในแบบของผู้อื่น
วิธีที่สอง
การฝึกพูดแบบเป็นทางการ
การฝึกพูดแบบเป็นทางการ
หมายถึง การฝึกพูดที่มีรูปแบบที่แน่นอน มีบทฝึก มีขั้นตอนโดยเฉพาะ
ในที่นี้ขอยกตัวอย่าง การฝึกพูดแบบ เป็นทางการที่ปฏิบัติกันอยู่ในสโมสรฝึกพูดต่างๆ
โดยสรุปเป็นหัวข้อได้ดังต่อไปนี้
๑. โครงสร้างของสโมสรฝึกพูด
๒. ขั้นตอนการฝึกพูด
๓. การดำเนินรายการฝึกพูด
๑. โครงสร้างของสโมสรฝึกพูดล
โดยทั่วไปแล้วโครงสร้างของสโมสรฝึกพูด
จะจัดเป็นรูปคณะกรรมการเช่นเดียวกันกับสโมสรทั่ว ๆ ไป คือ มีนายกสโมสร อุปนายก
เลขานุการ เหรัญญิก ปฏิคม และประชาสัมพันธ์ ซึ่งในแต่ละสโมสรอาจมีหน้าที่ต่างๆ
แตกต่างกัน ไปได้
๒. ขั้นตอนการฝึกพูด
ขั้นตอนการฝึกพูดของสโมสรฝึกพูดนั้น
มักจะดำเนินการเป็น ๔ ขั้นตอน คือ
๒.๑ การฝึกพูดแบบฉับพลัน ได้แก่
การเชิญให้สมาชิกพูดในหัวข้อใดหัวข้อหนึ่งโดยที่ผู้พูดไม่มีโอกาสเตรียมตัวมาล่วงหน้าจะใช้เวลาการพูดเพียง
๒-๓ นาที
๒.๒ การฝึกพูดแบบเตรียมตัว ได้แก่ การฝึกพูดในบทเรียนหรือเนื้อหาและบทฝึกพูดตามมุ่งหมายของบทเรียนหรือบทฝึกที่มีความมุ่งหมายเฉพาะ
อย่างกำหนดไว้ จะมีเวลาในการพูด ๕-๗ นาที
และผู้พูดมีโอกาสเลือกเรื่องที่จะพูดได้ตามต้องการ
๒.๓ การวิจารณ์การพูด ได้แก่
ขั้นตอนที่ผู้พูดหรือสมาชิกฝึกพูด ได้รับการประเมินผล
และคำแนะนำในการแก้ข้อบกพร่อง
ของแต่ละคนสำหรับเป็นข้อพิจารณาปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้นสำหรับการพูดครั้งต่อไป
๓. การดำเนินรายการฝึกพูด
การดำเนินรายการฝึกพูดของสโมสรแต่ละแห่ง
อาจมีข้อแตกต่างกันไปบ้าง ตามความเหมาะสม แต่โดยมาก มักมีการกำหนด นัดหมาย ให้มีรายการฝึกพูด
สัปดาห์ละ ๑ ครั้ง ครั้งละ ประมาณ ๒ - ๓ ชั่วโมง
โดยมีรายการเป็นลำดับ ส่วนท่านสุดท้ายที่จะกล่าวถึง คือ เพียรศักย์ ศรีทอง
ซึ่งได้กล่าวถึงสิ่งที่ควรปฏิบัติในการฝึกฝนการพูดไว้อย่างละเอียด และน่าสนใจมาก
โดยพอจะเรียบเรียงเป็นขั้นตอน ได้ดังนี้
๑. การฝึกฝนให้รู้จักแสวงหาความรู้ให้ทันสมัยอยู่เสมอ ควรต้องฝึกดังเรื่องในต่อไปนี้
๑.๑
ฝึกนิสัยรักการอ่าน
๑.๒
ฝึกนิสัยรักการฟัง
๑.๓
ฝึกนิสัยในการคิดสร้างสรรค์
๑.๔
ฝึกจดจำเรื่องราวต่าง ๆ
ซิเซโร (Cicero) นักพูดผู้โด่งดังชาวโรมัน
เมื่อ ๑๐๖ - ๖๓ ปีก่อนคริสตกาล ได้กล่าวเกี่ยวกับ
ความจำของมนุษย์ไว้ว่า ความจำคือคลังและยามเฝ้าสรรพสิ่ง หมายถึง
ความจำเป็นแหล่งสะสมความรู้ และประสบการณ์ต่างๆ ของมนุษย์ ในเรื่องของการฝึกความจำนั้น แฮร์รี่ โลเรน กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า
เทคนิคการช่วยความจำมีบทบาทสำคัญ
และเป็นเรื่องที่มีมานานแล้ว ไม่ใช่เรื่องใหม่เลย คำว่า "นีมอนิค"
(Mmemornic) แปลว่า เทคนิคการช่วยความจำนั้น มาจากคำว่า "นีมอซีน" (Mnemosyne) ซึ่งเป็นชื่อเทพธิดาองค์หนึ่งของชาวกรีกโบราณ
ได้ชื่อว่าเป็นเทพธิดาแห่งความจำ นั่นก็แสดงว่า เทคนิคการช่วยจำมีมานานแล้ว
ตั้งแต่อารยธรรมกรีกยุคต้น ๆ เป็นเรื่องที่แปลกคือ ระบบการจดจำที่สามารถฝึกฝนได้
ยังมีคนจำนวนมากที่ยังไม่รู้และนำมาใช้กัน คนที่รู้จักนำมาใช้ ไม่เพียงแต่จะแปลกใจ
ที่ตนมีความสามารถในการจดจำดี แต่ยังแปลกซ้ำไปอีกที่ได้รับแต่คำชมเชย
ยกย่องจากเพื่อนฝูง และสมาชิกของครอบครัว บางคนเห็นว่าเทคนิคการจำเหล่านี้มีค่าเกินกว่า
จะไปถ่ายทอดให้คนอื่น
๒. ฝึกกล่าวคำพูดให้ถูกต้องตามสำเนียงภาษาพูด
การฝึกพูดของนักพูดทั้งหลาย
สิ่งแรกที่ควรให้ความสนใจ ก็คือ ฝึกการออกเสียงภาษาที่พูดให้ถูกต้องชัดเจน
โดยเฉพาะ การออกเสียงพยัญชนะให้ถูกต้องชัดเจน กรณีที่ไม่ออกเสียงเหมือนอักษรที่เขียนมีอยู่
๒ ชนิด ที่ทำให้คนส่วนหนึ่ง รำคาญหู คือ
๑. ตัว "ร" กลายเป็น "ล" การกระทำเช่นนี้บางครั้งอาจทำให้สื่อความหมายผิดไปได้
๒. ตัวกล้ำ เช่น พูดว่า "ปับปุง" แทนที่จะออกเสียงกล้ำว่า "ปรับปรุง" ถ้อยคำที่คนส่วนใหญ่ออกเสียงผิด พอจะยกตัวอย่างได้ไม่ยาก อาทิเช่น
๒.๑
ถ้อยคำที่เขียนด้วย "ร" และ "ล" ๒.๒
ถ้อยคำที่ออกเสียงเป็นเสียงควบคล้ำ เช่น กว้างขวาง
ไขว้เขว พลัดพราก คลี่คลาย เพลิดเพลิน แพร่พราย ตรวจตรา ตรึงตรา ฯลฯ ๒.๓ ถ้อยคำที่เป็นคำศัพท์ต่าง ๆ ในภาษาไทยเรามีการสร้างคำใหม่ขึ้นมา
โดยวิธีการสร้างคำสมาส คำสนธิ คำประสม คำซ้อน ฯลฯ
คำศัพท์จำนวนไม่น้อยที่ออกเสียงไม่เป็นไปตามรูปศัพท์ โดยเฉพาะคำศัพท์ ที่เป็นคำ
สมาส หรือคำประสม เช่น
ประสบการณ์
ออกเสียงที่ถูกต้องว่า "ประ - สบ - กาน"
กาลสมัย ออกเสียงที่ถูกต้องว่า "กาน - ละ - สะ - หมัย"
ปรัชญา ออกเสียงที่ถูกต้องว่า "ปรัด - ยา"
กาลสมัย ออกเสียงที่ถูกต้องว่า "กาน - ละ - สะ - หมัย"
ปรัชญา ออกเสียงที่ถูกต้องว่า "ปรัด - ยา"
๓. การฝึกความเชื่อมั่นในตนเอง นักพูดที่ดีต้องมีความเชื่อมั่นในตนเองสูง
การฝึกความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้น แก่ตนเองจนเกิดเป็นนิสัย ผู้ฝึกจะต้องมีความตั้งใจ
อดทน ฝึกฝนตนเองในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้
๓.๑
ฝึกสร้างพลังจิตให้มีปมเด่น
๓.๒ ฝึกตนให้เป็นคนกล้าพูด
๓.๓
ฝึกการใช้สายตาและกิริยาท่าทางเวลาพูด
๔. ฝึกตนให้เป็นคนมีความอดทนอดกลั้นต่อ
อิฏฐารมณ์และอริฏฐารมณ์ จะต้องฝึกตนเกี่ยวกับการอดทน
ต่ออากัปกิริยาต่าง ๆ ของผู้ฟัง เพราะการพูดทุกครั้ง
ย่อมได้รับปฏิกิริยาตอบสนองจากผู้ฟัง ทั้งทางบวก และทางลบ การหักห้ามอารมณ์
และรู้จักข่มใจตนเอง จึงเป็นสิ่งที่นักพูดต้องฝึกฝนให้ได้
โดยอาศัยหลักในการฝึกฝนดังนี้
๔.๑
ฝึกระงับอารมณ์ต่าง ๆ
๔.๒
ฝึกวางเฉยให้ได้ (อุเบกขา)
๔.๓
ฝึกการไม่ตอบโต้ผู้ฟัง
๔.๔
ฝึกไม่วางโตเหนือผู้ฟัง
๔.๕
ฝึกสร้างพลังใหม่ ๆ
๕. ฝึกการพัฒนาบุคลิกในการพูด
ดร.ประดินันท์ อุปรมัย
ได้แบ่งกลุ่มนักจิตวิทยาที่อธิบายพัฒนาการทางบุคลิกภาพของบุคคลออกเป็นกลุ่ม ๔
กลุ่ม ตามวิธีการศึกษาทัศนะ คือ
๑. นักจิตวิทยากลุ่มจิตวิเคราะห์
ซึ่งใช้วิธีการศึกษาบุคลิกภาพของบุคคล
ด้วยการวิเคราะห์จิตของคนไข้โรคจิตเป็นส่วนใหญ่
๒. นักจิตวิทยากลุ่มเน้นลักษณะของบุคคล ซึ่งใช้วิธีศึกษาบุคลิกภาพของบุคคลปกติทั่วไป
โดยเน้นศึกษาลักษณะของบุคคลเป็นสำคัญ
๓. นักจิตวิทยากลุ่มพฤติกรรมนิยม ซึ่งใช้วิธีศึกษาพฤติกรรมของบุคคล
โดยนำเอาความรู้พื้นฐาน ที่ได้จากการทดลองกับสัตว์ มาประยุกต์ กับการศึกษาพฤติกรรมของบุคคล
๔. นักจิตวิทยากลุ่มมนุษยนิยม ซึ่งมีความเชื่ออย่างลึกซึ้ง
ในเรื่อง แนวโน้มในการพัฒนาศักยภาพแห่งตน และมีพื้นฐานความเชื่อในปรัชญาอัตภาวนิยม
จากแนวคิดที่นักจิตวิทยาได้ให้ทัศนะในการพัฒนาบุคลิกภาพไว้นี้
ย่อมชี้ให้เห็นว่า การพัฒนาบุคลิกภาพ จะต้องมีการพัฒนาหลาย ๆ ด้าน และหลาย ๆ วิธี
ทั้งนี้ เพื่อให้การพัฒนาประสบความสำเร็จ การพัฒนาบุคลิกภาพ
เป็นการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จึงต้องใช้เวลาในการพัฒนา
อ้างอิง: มหาวิทยาลัยศรีปทุม.
2546. การเตรียมตัวและการฝึกฝนการพูดเบื้องต้น. [Online]./Available:
url:
http://komut.spu.ac.th/somkiart/talk2.html#
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น