วันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ฟอร์บส์จัดอันดับ 50 มหาเศรษฐีไทย ‘ธนินทร์ เจียรวนนท์’ 3.93 แสนล. ครองที่ 1 ‘ทักษิณ’ อันดับ 10


ฟอร์บส์จัดอันดับ 50 มหาเศรษฐีไทย ‘ธนินทร์ เจียรวนนท์’ 3.93 แสนล. ครองที่ 1 ‘ทักษิณ’ อันดับ 10

เมื่อวันที่ 4 ก.ค. นิตยสารฟอร์บส์ เปิดเผย 50 อันดับมหาเศรษฐีประเทศไทย ที่มีมูลค่าความร่ำรวยรวมสูงถึงกว่า 2.6 ล้านล้านบาท คิดเป็น 1 ใน 4 หรือ 25% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) นอกจากนี้ มหาเศรษฐีไทย 44 ราย จาก 50 ราย ยังมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อน จากตลาดหุ้นไทยที่เติบโตขึ้น 14% นับจากวันที่ 20 ส.ค. 2555 ที่เป็นวันสุดท้ายที่มีการจัดอันดับก่อนหน้า

โดย นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ครองอันดับ 1 ของมหาเศรษฐีไทย ด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 3.93 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.12 แสนล้านบาท จากการรุกเข้าซื้อกิจการครั้งใหญ่ในปี 2556 ทั้ง บริษัท ซีพี ออลล์ ที่เข้าซื้อสยามแม็คโคร และนายธนินท์เข้าซื้อหุ้นใหญ่ 15% ในบริษัทประกันภัย ผิงอัน ของจีน ที่ถือว่าเป็นมูลค่าการซื้อบริษัทจีนที่มากที่สุดโดยบริษัทต่างชาติ

สำหรับอันดับ 2 คือ ตระกูลจิราธิวัฒน์ ด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 3.83 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.68 แสนล้านบาท ขณะที่นายเจริญ สิริวัฒนภักดี มั่งคั่งเป็นอันดับ 3 มูลค่าทรัพย์สิน 3.3 แสนล้านบาท หลังจากบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ เข้าซื้อกิจการกลุ่มบริษัท เอฟแอนด์เอ็น ในสิงคโปร์ วงเงิน 1.1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ด้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 10 โดยมีทรัพย์สิน 5.3 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้รายละเอียดเพิ่มเติมรวมทั้งบทสัมภาษณ์พิเศษ นายธนินท์ มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของไทย สามารถติดตามได้ในนิตยสาร ฟอร์บส์ ไทยแลนด์ ฉบับเดือน ก.ค. 2556

ด้าน ซีอีโอหญิงเก่ง ‘วันดี กุญชรยาคง’ ปลื้มติดอันดับ 1 ใน 50 เศรษฐีเมืองไทย ภูมิใจเปิดมิติใหม่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ผลิตเป็นกระแสไฟฟ้าสำเร็จ เปิดประตูโลกไปสู่การพัฒนาพลังงานลม-น้ำอย่างกว้างขวาง ปลุกกระแสโลกหันมาใช้พลังสะอาด-เป็นมิตรสิ่งแวดล้อมและไม่วันหมดไปจากโลก ดีใจช่วยชาติมีความมั่นคงด้านพลังงาน ลั่นเดินหน้าพัฒนาต่อเพื่อสร้างความแข็งแกร่งธุรกิจทุกมิติ-ทุกรูปแบบ

น.ส.วัน ดี กุญชรยาคง ประธานกรรมการ และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ SPCG กล่าวว่า ภาคภูมิใจที่ประสบความสำเร็จจาการพัฒนาธุรกิจการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ผลิต เป็นกระแสไฟฟ้า จนได้รับการจัดอันดับจากนิตยสารฟอร์บส์ ติดอันดับที่ 43 ใน 50 อันดับเศรษฐีประเทศไทย ซึ่งเราเป็นผู้นำการพัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งในประเทศไทยและระดับอาเซียน ที่สำคัญยังส่งผลนำไปสู่การพัฒนาธุรกิจใหม่ด้านของการนำพลังงานหมุนเวียนมา ใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวาง ไม่ว่าพลังน้ำ หรือพลังลม เพราะพลังงานเหล่านี้เป็นพลังงานหมุนเวียนที่ไม่มีวันหมดไปจากโลกแล้ว ยังเป็นพลังสะอาดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และความสำเร็จครั้งนี้ยังเป็นผลดีกับประเทศไทยชาติโดยรวม ทั้งด้านการลดมลภาวะ การลดการนำเข้าน้ำมัน ลดการใช้แก๊ส ลดการสูญเสียเงินตราต่างประเทศ

ส่วนจุดเปลี่ยนชีวิตครั้งสำคัญที่ทำให้ ประสบความสำเร็จมาถึงวันนี้นั้น น.ส.วันดี บอกว่าเรื่องของความเชื่อและศรัทธาเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะตัวเองเชื่อว่าจากการประสบการณ์การพัฒนาแสงอาทิตย์ทำให้มองเห็นโอกาส เห็นช่องทาง และมั่นใจว่าจะพัฒนาการใช้พลังงานแสงอาทิตย์มาผลิตเป็นกระแสไฟฟ้าได้สำเร็จ จึงได้ทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจเข้าไปศึกษาเพิ่มเติมอย่างหนักและเต็มที่ แม้ต้องเผชิญอุปสรรคปัญหามากมายตลอดทางก็ไม่ได้ย้อท้อ เพราะเชื่อว่าเราจะทำได้ ซึ่งหลังจากฟันฝ่าอุสรรคมาได้และประสบความสำเร็จก็รู้สึกดีใจและภาคภูมิใจ ซึ่งธุรกิจนี้จะเป็นโมเดลนำไปสู่การพัฒนาธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องได้ อย่างกว้างขวางต่อไป

สำหรับรายชื่อมหาเศรษฐีไทยทั้ง 50 อันดับมีดังนี้

1.ธนินทร์ เจียรวนนท์ ประธานเครือเจริญโภคภัณฑ์ มูลค่าทรัพย์สิน 3.93 แสนล้านบาท

2.ตระกูลจิราธิวัฒน์ เครือเซ็นทรัล มูลค่าทรัพย์สิน 3.83 แสนล้านบาท

3.เจริญ สิริวัฒนภักดี บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ มูลค่าทรัพย์สิน 3.30 แสนล้านบาท

4.ตระกูลอยู่วิทยา กลุ่มกระทิงแดง มูลค่าทรัพย์สิน 2.43 แสนล้านบาท

5.กฤตย์ รัตนรักษ์ บริษัทกรุงเทพ วิทยุโทรทัศน์จำกัด ผู้บริหารช่อง7สี มูลค่าทรัพย์สิน 1.21 แสนล้านบาท

6.จำนงค์ ภิรมย์ภักดี ประธานบริษัท บุญรอด บริวเวอรี่ มูลค่าทรัพย์สิน 7.48 หมื่นล้านบาท

7.วานิช ไชยวรรณ ประธานกรรมการ บมจ.ไทยประกันชีวิต มูลค่าทรัพย์สิน 6.55 หมื่นล้านบาท

8.วิชัย มาลีนนท์ ประธานกรรมการและผู้ร่วมก่อตั้ง BEC World มูลค่าทรัพย์สิน 6.24 หมื่นล้านบาท

9.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ เครือกรุงเทพดุสิตเวชการ มูลค่าทรัพย์สิน 5.62 หมื่นล้านบาท

10.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มูลค่าทรัพย์สิน 5.30 หมื่นล้านบาท

11.วิชัย ศรีวัฒนประภา (นามสกุลเดิม รักศรีอักษร) กลุ่มคิง เพาเวอร์ มูลค่าทรัพย์สิน 4.99 หมื่นล้านบาท

12.บุญชัย เบญจรงคกุล ผู้ก่อตั้ง บมจ.โทเทิ่ล แอคเซส คอมมูนิเคชั่น หรือดีแทค มูลค่าทรัพย์สิน 4.21 หมื่นล้านบาท

13.พรเทพ พรประภา กลุ่มสยามกลการ มูลค่าทรัพย์สิน 4.06 หมื่นล้านบาท

14.ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ผู้ก่อตั้ง บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท มูลค่าทรัพย์สิน 3.9หมื่นล้านบาท

15.คีรี กาญจนพาสน์ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ มูลค่าทรัพย์สิน 3.74 หมื่นล้านบาท

16.ประยุทธ มหากิจศิริ กลุ่มควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส (เนสกาแฟ) มูลค่าทรัพย์สิน 3.59 หมื่นล้านบาท

17.วิชัย ทองแตง ถือหุ้นเครือกรุงเทพดุสิตเวชการ,บมจ.ซีทีเอช มูลค่าทรัพย์สิน 3.43 หมื่นล้านบาท

18.อนันต์ อัศวโภคิน บมจ. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ มูลค่าทรัพย์สิน 3.37 หมื่นล้านบาท

19.ประณีตศิลป์ วัชรพล หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ มูลค่าทรัพย์สิน 3.28 หมื่นล้านบาท

20.William Heinecke บริษัท Minor International มูลค่าทรัพย์สิน 3.12 หมื่นล้านบาท

21.สุรางค์ เปรมปรีดิ์ ถือหุ้นบริษัทกรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ,ถือหุ้นธุรกิจธนาคาร ซีเมนต์ มูลค่าทรัพย์สิน 2.9 หมื่นล้านบาท

22.Aloke Lohia บริษัท Indorama Ventures มูลค่าทรัพย์สิน 2.85หมื่นล้านบาท

23.อิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการกลุ่มน้ำตาลมิตรผล มูลค่าทรัพย์สิน 2.84 หมื่นล้านบาท

24.พิชญ์ โพธารามิก บมจ.จัสมินอินเตอร์เนชั่นแนล มูลค่าทรัพย์สิน 2.68 หมื่นล้านบาท

25.สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานกรรมการกลุ่มไทยซัมมิท มูลค่าทรัพย์สิน 2.34 หมื่นล้านบาท

26.สรรเสริญ จุฬางกูร ถือหุ้นบริษัทไทยซัมมิท และบริษัทไทยสตีลเคเบิ้ล มูลค่าทรัพย์สิน 2.23 หมื่นล้านบาท

27.วิทูร สุริยวนากุล บริษัท สยาม โกลบอล เฮ้าส์ มูลค่าทรัพย์สิน 2.18 หมื่นล้านบาท

28.เพชร และ รัตน์ โอสถานุเคราะห์ กลุ่มบริษัทโอสถสภา มูลค่าทรัพย์สิน 1.97 หมื่นล้านบาท

29.พงษ์ศักดิ์ วิทยากร ผู้ร่วมก่อตั้งกรุงเทพดุสิตเวชการ มูลค่าทรัพย์สิน 1.87 หมื่นล้านบาท

30.นิติ โอสถานุเคราะห์ ถือหุ้นบริษัทโอสถสภา มูลค่าทรัพย์สิน 1.79 หมื่นล้านบาท

31.เฉลิม อยู่วิทยา กลุ่มกระทิงแดง มูลค่าทรัพย์สิน 1.72 หมื่นล้านบาท

32.ไกรสร จันศิริ ประธาน บมจ.ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ มูลค่าทรัพย์สิน 1.7 หมื่นล้านบาท

33.สมยศ และ จรีพร อนันตประยูร บริษัทดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด มูลค่าทรัพย์สิน 1.64 หมื่นล้านบาท

34.จำรูญ ชินธรรมมิตร์ กลุ่มน้ำตาลขอนแก่น มูลค่าทรัพย์สิน 1.59 หมื่นล้านบาท

35.วิชา พูลวรลักษณ์ เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ มูลค่าทรัพย์สิน 1.5 หมื่นล้านบาท

36.ปลิว ตรีวิศวเวทย์ บมจ. ช.การช่าง มูลค่าทรัพย์สิน 1.44 หมื่นล้านบาท

37.นิจพร จรณะจิตต์ และ เปรมชัย กรรณสูต ถือหุ้น บมจ. อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ มูลค่าทรัพย์สิน 1.26 หมื่นล้านบาท

38.Nishita Shah Federbush บมจ.พรีเชียส ชิปปิ้ง มูลค่าทรัพย์สิน 1.19 หมื่นล้านบาท

39.วัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ บมจ.สามารถ คอร์ปอเรชั่น มูลค่าทรัพย์สิน 1.15 หมื่นล้านบาท

40.สมโภชน์ อาหุนัย บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ มูลค่าทรัพย์สิน 1.03 หมื่นล้านบาท

41.เฉลิม หาญพาณิชย์ บมจ.บางกอก เชน ฮอสปิทอล มูลค่าทรัพย์สิน 1.01หมื่นล้านบาท

42.รุ่งโรจน์ แสงศาสตรา บมจ.ไดนาสตี้ เซรามิค มูลค่าทรัพย์สิน 9.98 พันล้านบาท

43.วันดี กุญชรยาคง ประธานกรรมการ SPCG มูลค่าทรัพย์สิน 9.36 พันล้านบาท

44.ทัศพล แบเลเว็ลด์ ผู้ถือหุ้นใหญ่ บมจ.เอเชียเอวิเอชั่น มูลค่าทรัพย์สิน 9.04 พันล้านบาท

45.ประชัย เลี่ยวไพรัตน์และครอบครัว บมจ.ทีพีไอ โพลีน มูลค่าทรัพย์สิน 8.42 พันล้านบาท

46.พรดี ลี้อิสระนุกูล และครอบครัว กลุ่มบริษัทสิทธิผล มูลค่าทรัพย์สิน 8.27 พันล้านบาท

47.ประทีป ตั้งมติธรรม บมจ.ศุภาลัย มูลค่าทรัพย์สิน 8.11 พันล้านบาท

48.วรวิทย์ วีรบวรพงศ์ บมจ.สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตร เคมิคัลส์ มูลค่าทรัพย์สิน 6.7 พันล้านบาท

49.อนันต์ อาญจนพาสน์ บมจ.บางกอกแลนด์ มูลค่าทรัพย์สิน 6.6 พันล้านบาท

50.วิโรจน์ ธนาลงกรณ์ บริษัท ซาบีน่า มูลค่าทรัพย์สิน 6.24 พันล้านบาท


ที่มา ข่าวสดออนไลน์ วันที่ 04 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

กีฬาช่วยการศึกษา

การกำหนดนโยบาย ศธ.

การกำหนดนโยบาย ศธ.
+โพสต์เมื่อวันที่ : 5 ก.ค. 2556

.....
นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้สัมภาษณ์พิเศษแก่หนังสือพิมพ์มติชน ในประเด็นการกำหนดนโยบายการศึกษา และจุดเน้นการขับเคลื่อนการศึกษาของประเทศ ซึ่งตีพิมพ์เผยแพร่ในฉบับวันที่ 5 กรกฎาคม 2556 หน้า 22
"ข่าวสำนักงานรัฐมนตรี" เห็นว่าบทสัมภาษณ์พิเศษดังกล่าวของนายสุพัด ทีปะลา สื่อมวลชนจากหนังสือพิมพ์มติชน จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา นักวิชาการ และผู้สนใจ เพื่อจะได้รับทราบความคิดเห็นและแนวทางการทำงานของนายจาตุรนต์ ฉายแสง ซึ่งกลับมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการอีกครั้ง และขอขอบคุณสื่อมวลชนดังกล่าวไว้ ณ ที่นี้
• หายไปจากวงการศึกษา 7 ปี จะต้องทำการบ้านอย่างไรบ้าง
การบ้านคงต้องทำ เพราะผมว่างเว้นจากการเป็นรัฐมนตรีมานาน และทำงานกับเรื่องอื่น ทั้งการเมือง การผลักดันให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยเป็นหลัก ช่วยงานพรรคการเมืองด้วย ในช่วงหลังไม่ได้คิดเตรียมตัวเตรียมใจจะเป็นรัฐมนตรี คิดว่าหลังการเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งอีกตั้ง 2 ปีค่อยไปว่ากัน เป็นหรือไม่เป็นค่อยว่ากัน แล้วปุบปับก็รู้ล่วงหน้า 2 วันตอนที่ท่านนายกรัฐมนตรีแจ้ง หลังจากนั้น 3-4 วันก็โปรดเกล้าฯ และถวายสัตย์ฯ รุ่งขึ้นก็เข้ากระทรวงเลย

ถึงแม้ว่าจะมีทุนเดิมคือเคยเป็นมา หรือสนใจอยู่บ้าง ก็ยังต้องการทำความเข้าใจสภาพปัจจุบันอยู่มากพอสมควร เพราะมิฉะนั้นจะกลายเป็นเอาแต่ความคิดตัวเองที่คิดได้เข้ามา มาบอกให้ทุกคนทำตามคงไม่ถูก โชคดีที่ผมได้มีโอกาสร่วมร่างนโยบายด้านการศึกษา ความจริงก็ร่วมร่างนโยบายในหลายด้าน แต่ด้านการศึกษาร่วมร่างนโยบายของพรรคเพื่อไทย ต่อมาก็มาช่วยร่วมร่างเป็นนโยบายรัฐบาล ก็จะเข้าใจสาระของนโยบาย ที่นี้พอนโยบายเหล่านั้นเมื่อมีการนำมาใช้แล้ว เรื่องต่างๆ อยู่ในสภาพอย่างไร คืบหน้าไปถึงไหน มีปัญหาอุปสรรคอย่างไร เป็นเรื่องหนึ่งที่ต้องทำความเข้าใจ และก็ยังต้องคิดค้นว่า เรื่องสำคัญๆ ที่ควรจะเน้น ควรจะทำก่อนคือเรื่องอะไร เพื่อจะกำหนดเป็นนโยบายจากนี้ไป โดยให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลและมีลักษณะสานต่อเรื่องเดิม กับทำในเรื่องที่ยังขาด หรือเรื่องสำคัญๆ ที่ควรจะเน้นเป็นพิเศษคืออะไร อยู่ระหว่างการที่จะพยายามสังเคราะห์โดยเริ่มจากการรับฟังมากๆ ก่อน ในเวลาสั้นคงให้แนวทางหรือนโยบายคร่าวๆ ไปก่อนได้


• ย้อนไป 6-7 ปีที่แล้วเทียบกับปัจจุบัน มองบริบทของการศึกษาแตกต่างหรือเปลี่ยนไปหรือไม่ ต้องปรับกระบวนการทำงานหรือไม่ หลายเรื่องเป็นเรื่องต่อเนื่อง สำคัญว่าพัฒนาการเป็นไปอย่างไร มากน้อยแค่ไหน ถูกทิศทางหรือไม่ แล้วก็สภาพการณ์ของประเทศ หรือสภาพการณ์ของโลกภายนอกก็เปลี่ยนไปมาก การศึกษาได้พัฒนาหรือมีแนวโน้มจะพัฒนาที่จะเอื้ออำนวยหรือรองรับการที่ประเทศจะต้องพัฒนาให้สามารถจะอยู่ในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะต้องมีทั้งความร่วมมือและแข่งขันกับประเทศต่างๆ ได้หรือไม่ นี่เป็นโจทย์ข้อใหญ่

ทั้งนี้ นโยบายด้านการศึกษาของรัฐบาลได้คิดเรื่องเหล่านี้มาแล้ว จำได้ว่าเมื่อคิดนโยบาย รัฐบาลก็ได้คิดเรื่องเหล่านี้กันมา แต่ตอนนำมาประยุกต์เข้ากับการทำงานในกระทรวงศึกษาธิการหรือการทำงานด้านการศึกษา ได้ประยุกต์กันไปมากน้อยแค่ไหน นำไปใช้แค่ไหนและใช้ได้ผลมากน้อยแค่ไหน กับอีกอย่างก็คือความเชื่อมโยงระหว่างเรื่องต่างๆ มิติต่างๆ ของการศึกษา ในส่วนนี้จะไม่อยู่ในนโยบาย เป็นเรื่องกระบวนการบริหารจัดการที่ต้องมาคิด

แล้วก็มีเรื่องสำคัญๆ ที่ต้องคิด ที่ผมใช้คำว่า “ยกเครื่อง” ก็ไม่ได้หมายความว่าที่ทำมาแล้วไม่ดีพอ รมว.ศธ.ท่านก่อนๆ โดยเฉพาะนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา ได้ดูจากนโยบายที่ประกาศไว้ก็สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล หลายเรื่องควรจะต้องส่งเสริมผลักดันต่อไป แต่ขณะเดียวกันผมคิดว่ามีจุดสำคัญๆ ที่ต้องมาเน้น มาเพิ่ม แล้วก็มาจัดลำดับความสำคัญ มาเลือกเรื่องที่จะทำแล้วจะส่งผลกระทบต่อเรื่องอื่นมากๆ เพื่อให้ทั้งระบบขับเคลื่อนได้เร็ว คือประเทศเรากำลังต้องการการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง พัฒนา ในเรื่องการศึกษา ปฏิรูปการศึกษา ในเรื่องการพัฒนาคนค่อนข้างมาก การเข้าสู่ประชาคมอาเซียน (ASEAN Community : AC) กำลังจะเกิด เอเชียกำลังเป็นทวีปที่มีศักยภาพ โลกกำลังมีเรื่องวิกฤตมีการเปลี่ยนแปลงของความมีศักยภาพ ไม่มีศักยภาพ ความพยายามเติบโตขึ้นใหม่ การทรุดตัวลงของบางประเทศ ก็มีผลที่ประเทศเราต้องปรับตัวเพื่อไม่ให้เสียโอกาส ไม่ให้ตกขบวน ส่วนสำคัญอยู่ที่การพัฒนาคน ก็คือ การศึกษา
  


• นโยบายเร่งด่วนเรื่อง การปฏิรูปการเรียนรู้
“ปฏิรูปการเรียนรู้” บางทีผมก็ชอบใช้คำว่า “ปฏิรูปการเรียนการสอน” ความหมายเดียวกัน บางทีก็ต้องพูดครอบคลุมเพราะเกี่ยวกับการสอนหรือบทบาทของครูอยู่ด้วย ถึงได้มีคำว่าการสอน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เคยทำและขาดช่วงไป แต่ก็ไม่เชิงที่จะเป็นเรื่องเอาของเก่ามาเล่าใหม่ บริบทเปลี่ยนไป มีความสำคัญเพราะว่าเราเคยทำหลักสูตรแล้วมีปัญหาความเข้าใจเรื่องหลักสูตร การทำหลักสูตรเป็นอย่างไร จะเอาไปใช้อย่างไร ซึ่งมีปัญหากันอยู่นาน ในระหว่างนั้นก็มีปัญหาควบคู่กันคือ การเรียนการสอนที่จะให้มีประสิทธิภาพให้ได้ผล ก็มีความรู้ มีองค์ความรู้ มีเทคนิค เทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย รวมทั้ง Concept ใหม่ๆ ทางด้านการเรียนการสอนหรือเกี่ยวกับการเรียนรู้เกิดขึ้น เราก็ควรจะทำเรื่องนี้จริงจัง

พอขาดช่วงไป ไม่ค่อยได้เน้นกัน เวลานี้ ศธ.ประกาศไปแล้วว่าจะปฏิรูปหลักสูตร บอกว่ามีผลใน 1-3 ปี แล้วค่อยให้ส่งผลกระทบไปเรื่องอื่น ผมคิดว่าอันนี้อาจจะต้องขอปรับกระบวนการ ก็คือแทนที่เราจะรอหลักสูตรมามีผลกระทบ ก็ต้องปฏิรูประบบการเรียนรู้และการเรียนการสอนเสียเลย เตรียมการทำ ลงมือทำ แล้วไปรับกับหลักสูตรใหม่ หลักสูตรใหม่ออกมาก็จะมีพื้นในการที่จะปรับการเรียนการสอนมากขึ้นไปอีก ซึ่งพอรู้โจทย์อยู่แล้ว ปฏิรูปการเรียนรู้และการเรียนการสอนจะเรียนแบบไหน จะสอนแบบไหน ในวิชาต่างๆ วิชาหลักๆ ซึ่งก็จะเน้นเรื่องการคิดวิเคราะห์ ความเข้าใจ การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การสร้างคุณลักษณะของเด็กหรือผู้เรียนที่พึงประสงค์

แต่เรื่องใหม่ซึ่งจริงๆ ไม่ได้ใหม่นัก แต่ต้องถือเป็นเรื่องใหม่ก็คือ การเรียนรู้ และการเรียนการสอนในโลกยุคอินเทอร์เน็ตแพร่หลาย มีการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ง่ายขึ้นกว้างขวางขึ้น มีความรู้อยู่ในระบบอินเทอร์เน็ตมากมายมหาศาล เรากำลังกำหนดหลักสูตรว่า ให้เด็กระดับไหนเรียนอะไร ควรเรียนอะไร เรียนอย่างไร สอนอย่างไร และในยุคที่มีเด็กเข้าสู่อินเทอร์เน็ตได้จะเรียนอย่างไร สอนอย่างไร จะแนะนำผู้เรียนอย่างไร มันเป็นโจทย์ข้อใหญ่มาก เราจะพบปัญหาว่า ครูให้การบ้าน เด็กก็เข้า search อาจใช้ Google search หรือจะไป Yahoo หรืออะไรก็ตาม เสร็จแล้วก็ cut ออกมาแปะส่งได้เลย มันก็เป็นความรู้มาตรฐานในหลายๆ เรื่อง

ก็มีเสียงบ่นว่า ถ้าเป็นอย่างนี้จะได้ผลอะไร มันสะท้อนว่า วิธีให้การบ้านของครู วิธีสอนของครู บทบาทของครูในห้องเรียนต้องเปลี่ยน แทนที่จะถามว่าคำนี้คืออะไรก็ไปค้นมา ต้องเปลี่ยนเป็นหลังจากค้นหาคำนี้แล้วให้ตั้งคำถาม ให้เปรียบเทียบกับคำอื่น ให้โยงไปเรื่องอื่น ให้แสดงความเข้าใจ ให้รู้จักคิด ในความรู้ที่เยอะแยะไปหมด ครูต้องช่วยแนะนำเด็กว่าจะเรียนอะไร หาความรู้อะไร ซึ่งก็โยงกับหลักสูตร เด็กจะเรียนรู้ด้วยตนเองต่อไปอย่างไรในความรู้มหาศาลที่เด็กเข้าได้ เข้าถึงได้หมด แต่เด็กเล็กๆ เด็กระดับมัธยมฯ ต้องมีทิศทางนำพาเขาว่าเราจะสร้างคนแบบไหน ความรู้อะไร ไม่ใช่ปล่อยให้ใครหาความรู้อะไรก็ได้ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ไม่ใช่ระบบการศึกษา อย่างนี้เป็นต้น

นี่คือเรื่องใหม่ ฉะนั้นผมคิดว่าต้องเน้น คือทำหลักสูตรก็ต้องรีบทำ ทำเลย แต่ขณะเดียวกันก็ต้องทำปฏิรูปการเรียนรู้และการเรียนการสอนโดยด่วน

• ต้องนำครูทั่วประเทศมาอบรมเป็นกระบวนการดังกล่าว
ก็โยงไปเรื่องครู เริ่มจากเรื่องหลักสูตรปัจจุบัน การเรียนการสอนสำหรับหลักสูตรปัจจุบัน การเรียนการสอนในยุคการเรียนรู้สมัยใหม่นี้ พอมีคำว่าสอนก็ไปเกี่ยวกับครู เหมือนเมื่อกี้ที่ผมพูดไป บทบาทของครูต้องเปลี่ยนไป ฉะนั้นการอบรมพัฒนาครูต้องเกิดขึ้น อบรมในเรื่องอะไร ก็คือในเรื่องเหล่านี้ ที่ต้องเปลี่ยนและต้องมีกระบวนการใหม่ ทำอย่างไร ทำให้ครูเรียนรู้ได้เร็ว โยงไปกับแท็บเล็ต มีแท็บเล็ตแต่เนื้อหาจะเป็นแบบไหน เนื้อหาที่ผลิตกันมาเพียงพอหรือเปล่า ได้มาตรฐานไหม เทียบกับต่างประเทศแล้วเป็นอย่างไร ไม่ใช่ว่าใครผลิตอะไรมาก็รับมาหมด แล้วก็มีแอพพลิเคชั่นอยู่ที่ไหนก็ไปเลือกใช้เอา ถ้าอย่างนั้นก็ย้อนกลับไปที่เด็กก็ไปเข้า Google search เข้า Yahoo ค้นคว้าได้หมด แต่ก็กลับมาที่ว่าจะตรงกับหลักสูตร สอดคล้องกับหลักสูตรได้อย่างไร นั่นก็มาที่เรื่องครู

แท็บเล็ตก็จะเป็นเรื่องใหญ่ที่สำคัญเรื่องหนึ่ง การทำเนื้อหาที่ให้ได้มาตรฐาน เนื้อหาในที่นี้นอกจากมีเนื้อหาอะไร ยังต้องมีวิธีเรียน วิธีสอนอยู่ในนั้น แบบฝึกหัด การทดสอบ ซึ่งเมื่อใช้คอมพิวเตอร์จะต่างกัน จะแสดงภาพการเลือก ภาพการใช้เทคนิคสมัยใหม่ๆ ได้หลายอย่างที่มีประสิทธิภาพ มีประสิทธิภาพแล้วการเรียนการสอนจะมีประสิทธิภาพกว่าการใช้หนังสือตามปกติแน่หรือเปล่า อย่างนี้ต้องมีตัวชี้วัด มีองค์ความรู้เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่คุยกัน

• ทุกวันนี้ครูมองว่ามีการเปลี่ยนแปลงตลอด ครูเองมีภาระการสอนเยอะ ถ้าเราเพิ่มภาระใหม่ให้เขาต้องมีแรงจูงใจในเรื่องการส่งเสริมความก้าวหน้าทางวิทยฐานะด้วยหรือไม่
ก็ต้องหาวิธีจูงใจ แต่ต้องทำความเข้าใจว่า หากจะต้องเปลี่ยนอีกก็ต้องเปลี่ยน เพราะว่าโลกกำลังเปลี่ยน สังคมและประเทศกำลังต้องการการเปลี่ยน แล้วจากตัวชี้วัดต่างๆ เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น เราก็ถอยหลังลงเรื่อยๆ แล้ว ก็จำเป็นต้องเปลี่ยน แรงจูงใจก็ต้องไปโยงกับการประเมินวิทยฐานะที่ต้องโยงผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน ซึ่งยังทำกันน้อย นี่ก็ต้องทำ ทำให้มากขึ้น หรือว่าจะมีวิธีส่งเสริมอุดหนุนการอบรมของครูให้มากขึ้นได้อย่างไร ครูคนไหนสอนดี ผลสัมฤทธิ์นักเรียนดีขึ้น ก็ต้องโยงให้สามารถเลื่อนวิทยฐานะได้ตามผลงาน ไม่ใช่ดูจากเอกสารมากจนเกินไป เช่น เกิดการประเมินโรงเรียน ประเมินนักเรียน ซึ่งก็จะโยงกับการสอบวัดผล ที่จะต้องมีมาตรฐานและต้องมีการสอบวัดผลเชื่อมโยงกับหลักสูตรและการเรียนการสอน ซึ่งเราก็ยังมีปัญหานี้มาก ต้องมาพูดจากัน

• ในส่วนของอาชีวศึกษาเน้นอะไรเป็นพิเศษ ผมคิดว่ามีความพยายามทำในหลายเรื่องครอบคลุมในหลายเรื่อง ทิศทางก็น่าจะดี การเรียนแบบทวิภาคี การยกระดับพัฒนาคุณภาพ การแก้ปัญหาเรื่องผู้สอน การแก้ปัญหาคนนิยมเรียนอาชีวะน้อยลง ทำให้เพิ่มขึ้นได้อย่างไร ก็เป็นทิศทางที่ถูก แต่ต้องมาประเมินว่า ระดับคุณภาพของเด็ก ความสอดคล้องกับตลาด ความต้องการของประเทศเป็นอย่างไร และกระบวนการที่เราจะผลิตคนให้ตรงกับความต้องการของประเทศอยู่ในระดับไหน มีผลพอใจแค่ไหน รองรับการพัฒนาประเทศได้จริงหรือไม่ ต้องหาวิธีประเมิน ประเมินทั้งในแง่หลักสูตรการเรียนการสอน ผลสัมฤทธิ์ของเด็ก เรื่องการประเมินเป็นเรื่องใหญ่อย่างหนึ่ง คล้ายกับการศึกษาขั้นพื้นฐานในเรื่องการทดสอบการประเมิน

แต่ว่ากลไกอันหนึ่งที่สร้างขึ้นแล้วเราก็ยังไม่ได้ใช้ คือ ระบบคุณวุฒิวิชาชีพ เจตนาต้องการให้สร้างคุณสมบัติ คุณลักษณะของเด็กที่จะผลิตเพื่อไปตอบสนองความต้องการของตลาดหรือสังคม และให้โยงกับเงินเดือนหรือค่าตอบแทนหรือรายได้ ทำให้เราผลิตเด็กได้ตรงความต้องการกับให้มีอาชีพและมีรายได้ที่ดี โดยไม่จำเป็นต้องจบปริญญา ในเวลานี้กลไกนี้ไม่ค่อยได้ใช้ แล้วเลยมาพูดถึงเรื่องปริญญาตรี ต่อไปจะกลายเป็นพยายามให้ได้ปริญญาตรีและจะได้เงินเดือนสูงขึ้น ก็เป็นคนละ concept กับคุณวุฒิวิชาชีพ

การร่วมมือกับเอกชน ยังเปลี่ยนแปลงเรื่องคุณภาพได้มากกว่านี้หรือไม่ รวมทั้งสเกลจะมากกว่านี้ได้ไหม การตั้งเป้าหมายให้เด็กเรียนอาชีวะมากขึ้น ซึ่งเคยมีตั้งแต่อาชีวะ 70 พื้นฐาน 30 ซึ่งนี่มันสมัยก่อนมากแล้ว แล้วก็ไม่มีทางเป็นไปได้ ก็กลายมาเป็น 50 : 50 ปัจจุบันนี้ก็ยังเป็น 70 : 30 แต่กลับกันเป็นอาชีวะ 30 ทั้งๆ ที่ประเทศกำลังพัฒนา และถ้าต่อไปมีการพัฒนาแบบคมนาคมขนส่ง Connectivity เกิดขึ้น ประชาคมอาเซียนเกิดขึ้น การไหลไปมาของการท่องเที่ยว แรงงาน ทรัพยากร ทุนเกิดขึ้น แล้วเรากลับผลิตคนสายอาชีพหรือสายเทคนิคน้อยลงๆ มันสวนทางกัน จะทำให้การพัฒนาเหล่านั้นเป็นไปไม่ได้ เราต้องมาพิจารณาแบบยกเครื่องกันว่า ถ้าเป็นไปอย่างนี้การพัฒนาไปในระดับคุณภาพที่เป็นอยู่ มันเป็นได้หรือเปล่า แนวโน้มสันนิษฐานว่าไม่ได้ เราก็ต้องมาประเมินและดูว่าจะพัฒนาได้อย่างไร

• อยู่ที่ผู้เรียนด้วยว่าผู้เรียนไม่อยากมาสายอาชีพแล้วไปสายสามัญกันหมด

เห็นว่าจะมีวิธีจะช่วยค่าใช้จ่าย ซึ่งนั่นก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ที่สำคัญคือต้องทำให้อาชีวะมีคุณภาพขึ้นมามากๆ ตรงกับความต้องการตลาด เรียนแล้วมีอาชีพ เรียนแล้วมีรายได้ที่ดี ซึ่งคนก็จะมาเรียนมากขึ้น รวมทั้งต้องทำเรื่องที่เรียกว่า Re-branding กันใหม่ ทำให้ภาพพจน์เป็นอีกแบบหนึ่ง คนมองมาที่อาชีวะแล้วเห็นว่าเป็นการที่จะก้าวไปสู่การมีอาชีพที่ดี มีรายได้ดี มีเกียรติ ในหลายประเทศคนจบสายอาชีวะจบสายเทคนิค ไม่ได้จบปริญญาแต่มีรายได้ที่สูงกว่าปริญญาเยอะ แล้วเค้าก็เรียนแบบนั้นแล้วอยากได้ความรู้เพิ่ม อยากได้ปริญญาก็ค่อยไปเรียนปริญญาทีหลัง แต่ได้ใช้ชีวิตทำงานที่มีรายได้ดี มั่นคงอยู่หลายปี ประมาณนี้ นี่เกิดขึ้นในหลายประเทศ นี่เราก็ต้องทำให้เกิดขึ้น ถ้าเราทำไม่ได้ก็จะขัดแย้งกับการพัฒนาที่เราตั้งใจทำหลายๆอย่าง

หลักสูตรก็ต้องปรับเพิ่ม ต้องร่วมมือกับทวิภาคี ก็ต้องมาดูว่ามันได้คุณภาพพอหรือยัง ตรงกับความต้องการพอหรือยัง เข้มข้นพอหรือยัง แล้วก็จะให้ดีต้องไปเทียบเคียงกับต่างประเทศ หรือจะทำมาตรฐานอะไรขึ้นมา ก็อาจจะต้องไปอาศัยผู้เชี่ยวชาญ อาศัยองค์กรผู้มีความรู้ความสามารถเชี่ยวชาญจากต่างประเทศมาช่วยเราวิเคราะห์หรือช่วยออกแบบระบบของเรา ไม่อย่างนั้นจะเป็นแบบคิดกันไปเท่าที่ได้ อย่างที่ใครมีอะไรก็คิดกันไปเท่าที่ได้ อย่างนี้ไม่ได้ มันต้องมีผู้เชี่ยวชาญมาช่วยคิด ประเทศที่เค้าประสบความสำเร็จต้องขอแรงขอความร่วมมือเค้ามาช่วยเราคิด ซึ่งคิดว่าอาจจะต้องยกเครื่องอาชีวะกันใหม่

• นโยบายด้านอุดมศึกษา

ในส่วนของอุดมศึกษานั้น ที่ประชุมก็คุยกันไปบ้าง มีหลายเรื่องที่ต้องตัดสินใจมีเรื่องใหญ่ๆ ว่าทำอย่างไร เราจะส่งเสริมให้การอุดมศึกษาของประเทศยกระดับคุณภาพ ไต่อันดับในเวทีโลกได้ดีขึ้น ทำอย่างไรเราจะรู้ว่ามหาวิทยาลัยไหนอยู่ในอันดับที่เท่าไร ในกรณีที่ไม่ติดอันดับโลกเลย ระบบจัดอันดับ ระบบรับรองคุณภาพของประเทศเราจะเป็นอย่างไร รัฐบาลหรือสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) จะผลักดันอะไรได้มากกว่านี้ ทั้งเรื่องการใช้งบประมาณ ในเรื่องการตั้งเป้าหมาย แล้วก็มีเรื่องที่ค้างๆ อยู่เดิม ซึ่งเป็นเรื่องในการพัฒนาคุณภาพ ซึ่งบังเอิญว่างานในแต่ละด้าน ยังไม่ได้ลงลึก

• มหาวิทยาลัยแต่ละแห่งเหมือนกับว่าต้องเปิดหลักสูตรโน้นนี้เพื่อเลี้ยงตัวเองเพราะว่างบประมาณน้อย ทำให้บางที่คุณภาพก็ลดน้อยถอยลงบ้าง

อันนี้ก็ต้องมาดูว่าทางรัฐบาล ทาง สกอ.จะมีบทบาทไปช่วยทำให้มีคุณภาพได้อย่างไร ก็ผ่านจากระบบประเมิน ระบบการจัดอันดับ ระบบงบประมาณ นอกจากนั้นก็ต้องเป็นใช้ความเรียกร้องต้องการของภาคสังคมที่จะเสนอต่อมหาวิทยาลัย อันนี้ก็กลับมาที่คุณลักษณะของบัณฑิตที่เราต้องการ คุณสมบัติที่เราทดสอบการประเมิน เพราะไม่อย่างนั้นเราก็จะได้แต่พูดกันไปว่าอันนั้นไม่ค่อยดี ไม่ค่อยดี ไม่มีคุณภาพเกิดขึ้น ไม่มีตัวชี้วัดอันไหนก็จะเป็นเรื่องของความรู้สึก เป็นเรื่องการเปรียบเทียบมหาวิทยาลัยนั้นกับมหาวิทยาลัยนี้ ไม่มีตัววัดอะไร การจะเรียกร้องให้มหาวิทยาลัยปรับตัวก็ยังไม่มีอะไรที่จะอ้างอิง

• ระบบการคัดเลือก Admission ที่จะรับเด็กเข้ามหาวิทยาลัย ต้องมาดูกันใหม่อีกรอบหนึ่งหรือไม่

อันนี้เป็นเรื่องใหญ่ เป็นการที่ต้องรวบรวมจากฝ่ายต่างๆ ในเรื่องประเด็นปัญหาแล้วก็เกิดการหารือกันเพราะเรื่องแบบนี้ ทาง ศธ. หรือ สกอ.ไม่สามารถที่จะไปกำกับมหาวิทยาลัยได้ แต่ว่าต้องยอมรับว่าระบบที่ทำกันอยู่ มีปัญหามาก ทั้งนี้ในความเท่าเทียม การที่ปฏิรูปการศึกษาขั้นพื้นฐานจะได้ผลเพราะมันดึงความสนใจของผู้เกี่ยวข้องไปหาข้อสอบของมหาวิทยาลัยไปเสียหมด อันนี้ต้องเกิดการสำรวจปัญหา และหารือร่วมกัน ถ้าทางฝ่ายมหาวิทยาลัยเห็นว่ายังไม่ดีพอ ยังไม่ได้เด็กที่ตรงความต้องการ ก็ต้องช่วยกันปรับหลักสูตร ปรับการเรียนการสอนขั้นพื้นฐาน เพื่อให้ตัวป้อนดีขึ้น แต่ถ้าไปออกข้อสอบเน้นเพื่อให้ได้ตัวป้อนที่ดี เลือกเอาครีมไปแล้ว ทำให้เด็กทั้งระบบไม่สนใจการเรียนในโรงเรียน ไม่สนใจการสอบของ สทศ.หรือของกระทรวง ก็ทำให้การปฏิรูปการศึกษาไม่อาจเกิดขึ้นได้ เพราะฉะนั้นตรงนี้ก็เป็นเรื่องในลำดับถัดๆ ไปที่ต้องคิด ส่วนคำถามที่ว่าทางมหาวิทยาลัยก็บอกว่าถ้าไม่ออกข้อสอบยากๆ เขาก็คัดเด็กไม่ได้นั้น ก็ต้องมีว่าจะอิงกับหลักสูตรยังไง ถ้าเป็นยากแบบนอกหลักสูตรมากๆ มันก็เท่ากับว่าเด็กก็ต้องเรียนเน้นที่กวดวิชา แล้วก็จะสนใจการเรียนในโรงเรียนน้อย

• เรื่องปัญหาการทุจริตในกระทรวง ในหลายกรณี อยากทราบแนวนโยบายของรัฐมนตรีว่าจะเข้ามาจัดการกับปัญหาตรงนี้อย่างไรบ้าง

ก็ต้องสะสางอย่างเอาจริงเอาจัง การทุจริตที่ผ่านก็ต้องหาผู้ทำผิด ลงโทษไปตามเนื้อผ้าอย่างเคร่งครัดจริงจัง ป้องกันไม่ให้เกิดการทุจริตใหม่ เพราะถ้าปล่อยให้มีการทุจริตกันมากๆ การพัฒนาการศึกษาก็ไม่มีทางได้ผล ก็เป็นการสูญเปล่า หวังไปพัฒนาคุณภาพการศึกษาก็ไม่ได้ เรื่องการทุจริตครูผู้ช่วยก็มีหลายมิติ ก็ต้องดูว่าจุดที่เป็นปัญหาอยู่ที่ไหน จะให้ความเป็นธรรมกับผู้เข้าสอบได้อย่างไร จะสร้างระบบต่อไปไม่ให้มีการทุจริตได้อย่างไร เรื่องนี้มีการจัดการกับปัญหามาในขั้นตอนต่างๆ ไปแล้ว บางเรื่องจะไปรื้อไปแก้ก็ไม่ใช่ง่าย เช่น ครูบรรจุไปแล้วจะให้สอบใหม่ มาถึงขั้นนี้ก็ไม่ใช่ง่ายแล้ว แต่ว่าตอนนี้ที่สำคัญก็คือว่า ถ้าพบว่ามีการทุจริตที่ไหน มีใครเกี่ยวข้อง ต้องว่าไปตามเนื้อผ้า ไม่ล้มมวย

• รัฐมนตรีรู้สึกอย่างไรบ้างกับกระแสการกลับมา แล้วเป็นที่ยอมรับกับทุกแวดวง ทั้งนักวิชาการ-ข้าราชการที่ค่อนข้างจะคาดหวัง

จะว่าเป็นกำลังใจก็เป็น จะว่าเป็นการกดดันก็เป็น ความคาดหวังหรือยินดีที่ผมมาเป็นรัฐมนตรีก็ไม่แน่ใจว่าเกิดจากเห็นว่าสมควรเป็นรัฐมนตรี ดีใจที่ได้มาเป็นรัฐมนตรีหรือดีใจที่มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มันจะปนๆ กันอยู่ ผมก็ไม่ได้ทำงานด้านการศึกษามา ไปเน้นเรื่องการทำให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยถึงเกือบ 7 ปี ไม่ได้คิดจะเป็นรัฐมนตรีด้วย เพราะฉะนั้นมันก็ไม่ใช่จะเป็นเหมือนอย่างที่คาดหวังกันไปเสียหมด

ตัวอย่างก็คือว่า งานด้านการศึกษา งานของกระทรวงศึกษาธิการจะไม่มีอัศวินม้าขาว จะอาศัยอัศวินม้าขาวไม่ได้ แล้วผมก็ไม่ใช่อัศวินม้าขาว ที่สำคัญต้องอาศัยคนทั้งกระทรวงและสำคัญกว่านั้นต้องอาศัยสังคม ต้องเป็นประเด็นทางสังคม บางเรื่องต้องให้เป็นวาระแห่งชาติให้ได้จึงจะแก้ได้ ถ้าผมมีส่วนช่วยคือ ใช้ความรู้ประสบการณ์ที่มีอยู่ มาทำความเข้าในเรื่อง และเสนอเรื่องให้เห็นว่าถ้าจะขับเคลื่อนการศึกษากันจริงๆ ยกเครื่องกันจริงๆ จะต้องทำอะไรอย่างไร เสร็จแล้วก็ต้องทำให้ผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายเข้าใจ เห็นร่วมกัน ซึ่งก็คือต้องมีกระบวนการทำงานร่วมกันเสียก่อนตั้งแต่ต้น และยังต้องไปเสนอเรื่องเหล่านี้ให้สังคมเข้าใจ และเห็นโจทย์ทางออก และเห็นวิธีการร่วมกัน ช่วยกันผลักดัน

ถ้าไม่มีกระบวนการนี้ ใครมาเป็น รมว.ศธ.ก็ยังทำอะไรมากไม่ได้ เรื่องของ ศธ.เป็นเรื่องซับซ้อน หลายเรื่องมีการสะสมมานาน แล้วก็หลายส่วนก็มีลักษณะเป็นอิสระจากกัน โครงสร้างที่ทำมาต่อเนื่องช่วง 10 ปีมานี้ เป็นโครงสร้างที่ทำให้การบริหารจัดการไม่ง่าย

• ภายใน 2 ปีจะเห็นการเปลี่ยนแปลงอะไร มากน้อยแค่ไหน ความคาดหวังของ รมว.ศธ.เป็นอย่างไร

ผมจะอยู่ถึง 2 ปีหรือไม่ ก็ยังไม่ทราบ แต่ต้องรีบคิดแบบ 3 เดือน 6 เดือนก่อนว่าจะคิดช่วยวางแผนไว้ให้เป็นเรื่อง 2 ปี 4 ปี จึงคิดว่าคงจะต้องเน้นการทำงานใน 3 เดือน 6 เดือน แต่จะพยายามช่วยวางแผนวางระบบที่จะมีผลต่อไปข้างหน้าให้ยาวหน่อย หวังว่าจะทำให้เกิดความเข้าใจยุทธศาสตร์ร่วมกัน มียุทธศาสตร์ร่วมกัน เข้าใจเรื่องใหญ่ๆ ร่วมกัน แล้วก็วางแผนวางระบบวางกระบวนการที่จะบรรลุยุทธศาสตร์นั้น เริ่มต้นให้ได้ในเรื่องสำคัญๆ แล้วก็คงต้องอาศัยการทำงานต่อเนื่องไป ซึ่งก็ต้องขึ้นอยู่กับผู้ที่จะรับผิดชอบต่อๆ ไป จะเป็นผมหรือเป็นใครก็ตามที่จะทำจาก 6 เดือนนี้แล้วทำต่อๆ ไป หรือแม้แต่จะทำในรัฐบาลหน้าก็ตาม แต่การศึกษาที่จะแก้ปัญหานี้ต้องการความต่อเนื่อง ความต่อเนื่องไม่ได้พูดในความหมายว่า ต้องให้ผมเป็นรัฐมนตรีนานๆ แต่ต้องสื่อสารกับรัฐบาลและทั้งสังคมให้เห็นภาพร่วมกัน เข้าใจร่วมกัน และช่วยทำให้ต่อเนื่อง

• แนวโน้มของรัฐบาลค่อนข้างต่อเนื่อง

ในแง่เสถียรภาพของรัฐบาล โอกาสที่จะมีความต่อเนื่องของรัฐบาลยังมีอยู่สูง แต่ความต่อเนื่องของการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์นโยบายทางด้านการศึกษาที่ตรงจุด สอดคล้องกับความต้องการของประเทศและต่อเนื่อง อันนี้เป็นเรื่องที่จะต้องช่วยกันสร้างขึ้น



• รมว.ศธ.รับฟังมาก ทำให้การเคลื่อนงานช้าหรือไม่ อาจจะต้องมีความรวดเร็วมากขึ้นหรือไม่

เร็วหรือช้า เป็นเรื่องที่มองได้ต่างกัน บางเรื่องรับฟังความคิดเห็น เพื่อช่วยกันคิดวิเคราะห์ คนยังมีความรู้สึกช้า แต่พอได้ข้อสรุปแล้ว บางเรื่องก็เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น ถ้าไม่คิดเรื่องนั้นก็ไม่เกิดเลย บางเรื่องคิดขึ้นมาแล้ว ต่อมาพบว่าผ่านมาอีกตั้งนาน คนถึงจะบอกว่าใช่แล้วต้องทำ ก็แสดงว่าเรื่องที่ช่วยกันคิดอยู่ ที่เหมือนดูว่าช้านั้น จริงๆ แล้วมันก้าวหน้าล้ำสมัยกว่า แล้วเร็วกว่าบางเรื่อง ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่เร็วหรือช้าเท่านั้น แต่เป็นเรื่องที่จะคิดได้ไหม จะทำกันไหม

อย่างไรก็ตาม ผมก็เข้าใจความต้องการที่คนต้องการเห็นอะไรเร็วๆ ต้องการการคิด การตัดสินใจเร็ว ซึ่งก็คิดว่า จากความรู้ ความเข้าใจ ประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมา น่าจะช่วยทำให้ความร่วมมือที่ดีของคนในวงการการศึกษา น่าจะทำให้ขับเคลื่อนเรื่องต่างๆ ได้เร็ว เท่าที่ดูก็ไม่ค่อยมีปัญหาที่เกี่ยวกับการตัดสินใจยาก



ขอบคุณข้อมูลจาก เว็บไซต์กระทรวงศึกษาธิการ

ว่านหางจระเข้ สมุนไพรสารพัดประโยชน์


ว่านหางจระเข้ (Aloe Vera) คือ พืชชนิดหนึ่งที่ถูกจัดอยู่ในประเภทพืชล้มลุก สีเขียว มีลักษณะลำต้นเป็นข้อปล้อง ใบเดี่ยว ใบหนายาวและโคนใบใหญ่ ปลายแหลม ขอบใบมีหนามห่างกันเป็นระยะ เรียงเป็นชั้น ข้างในใบเป็นวุ้นใสสีเขียวอ่อน มีเมือกเหนียว สามารถออกดอกสีแดงอมเหลืองที่ปลายยอดได้ มีถิ่นกำเนิดมาจากแถบชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและตอนใต้ของทวีปแอฟริกา สามารถปลูกได้ง่ายในดินทราย หรือในกระถางก็ได้ เป็นพืชชอบน้ำ แต่ต้องมีทางระบายน้ำได้ดี ป้องกันไม่ให้อมน้ำมากเกินไปจนรากเน่า






สรรพคุณว่านหางจระเข้

ว่านหางจระเข้นั้น จัดเป็นพืชที่มีสรรพคุณต่าง ๆ มากมาย สามารถใช้บรรเทาโรคทั้งภายนอกและภายในร่างกาย อีกทั้งยังใช้บำรุงผิวพรรณได้อีกด้วย ดังนี้

ประโยชน์ภายนอก

1.รักษาแผลไฟไหม้และน้ำร้อนลวก โดยปอกเปลือกนอก นำวุ้นสดภายในใบไปล้างยางออกให้สะอาด แล้วนำไปประคบแผลตลอด 2 วันแรก จะช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อน สมานแผลให้เร็วขึ้น และไม่ทิ้งร่องรอยแผลเป็นอีกด้วย

2.ป้องกันและบรรเทารอยไหม้จากการออกแดด นำใบสด ๆ ของว่านหางจระเข้ผสมกับโลชั่นทาลงบนผิวหนังก่อนออกแดด จะช่วยป้องกันแสงแดดได้ แต่ถ้าหากเกิดรอยไหม้ขึ้นบนผิวหนังหลังออกแดดแล้ว ให้ใช้วุ้นที่ล้างสะอาดมาทาเพื่อลดอาการอักเสบ ถ้าจะให้ดีลองผสมกับน้ำมันพืช หรือ น้ำมันมะกอก เพื่อลดอาการผิวแห้งตึงจนเกินไป

3.บรรเทารอยไหม้จากการฉายรังสีของผู้ป่วย โดยใช้วิธีการนำวุ้นว่านหางจระเข้ที่ล้างสะอาดมาประคบที่รอยไหม้จากการทำคีโม จะช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อน และทำให้ฟื้นตัวเร็วขึ้น

4.สมานแผลจากของมีคมและแผลถลอก หากได้รับบาดเจ็บจากของมีคม ใช้วุ้นจากว่านหางจระเข้ที่ยังมีเมือกอยู่ แปะลงไปบนแผล จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสมานแผลให้เร็วขึ้นได้

5.รักษาฝีและโรคริดสีดวงทวาร ทำความสะอาดบริเวณที่เกิดโรคให้แห้งแล้ว นำวุ้นไปแปะลงบนแผล หากเป็นทวารหนักให้ปอกวุ้นให้เป็นแท่งแล้วล้างให้สะอาด นำไปแช่เย็นให้แข็ง เพื่อสอดเหน็บในช่องทวารหนักวันละ 1-2 ครั้ง อาการริดสีดวงจะดีขึ้น

6. รักษาตาปลาและฮ่องกงฟุต นำเนื้อวุ้นที่ล้างทำความสะอาดแล้ว ไปแปะลงบริเวณที่เกิดโรค หมั่นเปลี่ยนเนื้อวุ้นบ่อย ๆ โดยหากเป็นตาปลาส่วนที่แห้งลงจะเกิดรูบุ๋มขึ้น ให้ใช้ว่านหางจระเข้ประคบต่อไปจนกว่ารอยบุ๋มจะสมานและเล็กลง ส่วนฮ่องกงฟุตให้ด้วยว่านหางจระเข้เอาไว้จนกว่าแผลจะแห้งลงและอาการดีขึ้น

7.แก้ปวดศีรษะ ตัดใบสดจากต้นว่านหางจระเข้ แล้วนำปูนแดงทาบริเวณวุ้น ถือใบสดแล้วนำวุ้นผสมปูนแดงประคบบริเวณขมับหรือท้ายทอย ตามจุดที่ปวด จะช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะได้

8.บรรเทาอาการปวดฟัน ตัดเนื้อว่านหางจระเข้ออกเป็นแท่งเล็ก ๆ ประมาณ 2-3 เซ็นติเมตร นำไปเหน็บไว้ตามซอกฟันที่มีอาการปวด หรือประคบไว้ก็ได้ ใช้เวลาประมาณ 30 นาที อาการปวดจะค่อย ๆ บรรเทาลง


ประโยชน์ภายใน

1.บรรเทาอาการปวดข้อ นำวุ้นว่านหางจระเข้ที่ล้างทำความสะอาดแล้วไปแช่ตู้เย็น และรับประทานเพื่อบรรเทาอาการปวดตามข้อต่าง ๆ โดยสามารถใช้ได้ทั้งเนื้อวุ้น และน้ำวุ้น หากอยากให้รับประทานง่ายขึ้น สามารถนำไปปั่นเป็นน้ำว่านหางจระเข้ ก็ช่วยบรรเทาอาการได้เช่นกัน

2. ใช้เป็นยาถ่าย โดยเลือกตัดว่านหางจระเข้พันธุ์เฉพาะที่ใบใหญ่และมีน้ำยางสีเหลืองในปริมาณมาก อายุประมาณ 9 เดือนขึ้นไป รองน้ำยางที่ไหลออกมาจากใบ แล้วนำไปเคี่ยวให้ข้น เทลงในพิมพ์ขนาดเล็กให้แข็งเป็นก้อนรับประทานเป็นยาได้ ซึ่งเม็ดยาจะมีสีแดงอมน้ำตาลไปจนถึงดำ เรียกว่า ยาดำ แบ่งรับประทานครั้งละประมาณ 0.25 กรัม (250 มิลลิกรัม) จะเป็นขนาดที่เหมาะสมในการใช้เป็นยาถ่าย หากต้องการรับประทานแบบสด ๆ ก็สามารถทำได้ โดยการตัดวุ้นที่ล้างสะอาดแล้วออกเป็นขนาด 3-4 เซ็นติเมตร แบ่งรับประทานวันละ 3 ครั้งหลังอาหาร

3. แก้กระเพาะอักเสบและลำไส้อักเสบ ปอกเปลือกว่านหางจระเข้ นำวุ้นที่ได้ไปล้างให้สะอาด แล้วนำมารับประทานครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ วันละ 2 ครั้ง จะช่วยบรรเทาอาการอักเสบของทางเดินอาหารได้

4. ป้องกันโรคเบาหวาน ตัดเนื้อว่านหางจระเข้ความยาวประมาณ 3-4 เซนติเมตร นำไปรับประทานทุกวัน หรือจะปั่นเป็นน้ำว่านหางจระเข้ เพื่อรับประทานก็ได้ โดยอาการเบาหวานจะทุเลาลงสำหรับผู้ที่เป็นในระยะแรก ส่วนผู้ที่ต้องการรับประทานเพื่อป้องกัน สามารถรับประทานในปริมาณที่น้อยลงได้

5.แก้และป้องกันอาการเมารถเมาเรือ ท่านที่มีปัญหาในการเดินทาง เกิดอาการเมารถเมาเรืออยู่เป็นประจำ ให้ลองรับประทานเนื้อวุ้นจากว่านหางจระเข้ หรือน้ำว่านหางจระเข้ ก่อนออกเดินทางจะช่วยบรรเทาให้เกิดอาการดังกล่าวน้อยลงได้ แต่หากเกิดอาการเมารถเมาเรือขึ้นแล้ว ลองทานน้ำว่านหางจระเข้เย็น ๆ ให้ชื่นใจ แล้วนั่งพักสักครู่ จะรู้สึกดีขึ้น





ประโยชน์ด้านความงาม

1.บำรุงเส้นผมให้เงางามและช่วยขจัดรังแค ตัดใบสดมาทาลงบนเส้นผม หรือถ้าไม่สะดวกให้นำวุ้นว่านหางจระเข้ไปปั่นให้ละเอียดจะได้ใช้ง่ายขึ้น จากนั้นนำมาชโลมผมให้ทั่วเพื่อให้ผมสลวยเงางาม หากนวดบริเวณรากผมจะช่วยให้รากผมเย็นลง ช่วยบำรุงหนังศีรษะ รักษาแผลบนศีรษะ และขจัดรังแคได้ด้วย

2.รักษาสิวและรอยด่างดำ ประโยชน์ข้อนี้คนที่อยากหน้าใสตั้งใจอ่านให้ดี เพราะว่านหางจระเข้มีฤทธิ์ช่วยยับยั้งการติดเชื้อ และมีกรดอ่อน ๆ ช่วยลดความมันบนใบหน้าได้ นำเนื้อวุ้นที่ล้างสะอาดทาบริเวณใบหน้าวันละ 2 ครั้ง ใช้เวลาสัก 1-2 เดือน จะเริ่มเห็นผลว่ารอยต่าง ๆ ดูจางลง

3.บำรุงผิวกาย เพียงแค่นำว่านหางจระเข้สด มาปอกเปลือกและล้างให้สะอาด จากนั้นหั่นเป็นชิ้นนำไปใส่ไว้ในถุงผ้ากอซขนาดเล็ก แล้วนำไปหย่อนไว้ในอ่างอาบน้ำ หรือถ้าไม่มีถุงผ้ากอซ ให้นำวุ้นไปแช่ไว้ในอ่างอาบน้ำเลยก็ได้เหมือนกัน โดยระหว่างอาบน้ำให้ใช้เนื้อวุ้นถูกตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เน้นที่รอยแห้งกร้านอย่างข้อศอก หัวเข่า ส้นเท้า เป็นต้น จะช่วยให้ผิวพรรณเนียนนุ่ม และเต่งตึงขึ้น

4. เติมน้ำให้ผิว ความชุ่มชื้นในผิวหน้าและผิวกาย มักจะค่อย ๆ ลดลงตามวัย และไลฟ์สไตล์ของคุณ ซึ่งโดยส่วนใหญ่มักใช้ชีวิตกันอยู่ในห้องแอร์จนผิวขาดความชุ่มชื้น หากนำเนื้อวุ้นจากว่านหางจระเข้มาพอกหน้าก็เป็นอีกวิธีที่จะช่วยเติมน้ำให้ผิวของคุณได้ โดยล้างวุ้นให้สะอาด แล้วฝานบาง ๆ มาโปะให้ทั่วหน้า หลับตาพริ้มรอสัก 15 นาที ก็ไปล้างหน้าให้สะอาดได้ ผิวของคุณจะรู้สึกชุ่มชื้น เต่งตึงขึ้น หากจะใช้กับผิวกายให้ลองนำเนื้อไปปั่นหยาบ ๆ แล้วนำมาพอกตัว ก็ใช้ง่ายดีเหมือนกัน





สูตรพอกหน้าด้วยว่านหางจระเข้

นอกจากสรรพคุณทางยาต่าง ๆ แล้ว ว่านหางจระเข้ก็ยังนำไปประยุกต์ใช้เพื่อความสวยความงามได้เช่นกัน สูตรว่านหางจระเข้พอกหน้า จึงขาดไม่ได้สำหรับคนรักสวยรักงาม เตรียมปากกาจดสูตรกันได้เลยจ้า

1.เนื้อวุ้นว่านหางจระเข้บด 1 ช้อนโต๊ะ, ดินสอพอง 2 ช้อนโต๊ะ, น้ำมะนาว 1 ช้อนชา, น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ผสมให้เข้ากันแล้วใช้พอกหน้าเพื่อลดความมัน และจุดด่างดำได้

2.เนื้อวุ้นว่านหางจระเข้บด 1 ช้อนโต๊ะ, ดินสอพอง 1.5 ช้อนโต๊ะ, ไข่ขาว 2 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้ากันช่วยลดความมันบนใบหน้าได้ ทำให้เกิดสิวลดลง

3.เนื้อวุ้นว่านหางจระเข้บด 1 ช้อนโต๊ะ, ดินสอพอง 1.5 ช้อนโต๊ะ, น้ำแตงกวาสด 1-2 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้ากันนำไปพอกหน้า จะช่วยลดความมันบนใบหน้า และช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ให้ผิวหน้าสดชื่นขึ้น

4.เนื้อวุ้นว่านหางจระเข้บด 1 ช้อนโต๊ะ, ดินสอพอง 1 ช้อนโต๊ะ, นมสด 1.5 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้ากันแล้วนำไปพอกหน้า จะช่วยให้ใบหน้ากระจ่างใสขึ้น และลดความมันบนใบหน้าด้วย

5.เนื้อวุ้นว่านหางจระเข้ 1 ช้อนโต๊ะ, ขมิ้นผง 2 ช้อนชา, นมสด 1.5 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้ากัน แล้วพอกหน้าเพื่อลดความมัน และเพิ่มความกระจ่างใส โดยสามารถฝานแตงกวาเป็นแว่นมาแปะไว้บริเวณรอบดวงตาก็ได้






ผลิตภัณฑ์จากว่านหางจระเข้

เมื่อสรรพคุณของว่านหางจระเข้มีอยู่มากมายรอบด้านขนาดนี้ ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่เกิดจากว่านหางจระเข้ก็ย่อมต้องทยอยออกมาเพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้บริโภคมากขึ้น ปัจจุบันจึงมีผลิตภัณฑ์ที่ถูกแปรรูปจากว่านหางจระเข้อยู่หลากหลาย ดังนี้

1.เจลว่านหางจระเข้ สรรพคุณ ใช้ทาเพื่อลดอาการบวม เป็นครีมทาใต้ตา บำรุงผิวหน้า เพิ่มความชุ่มชื้น ใช้ผสมกับส่วนผสมต่าง ๆ พอกหน้าแทนวุ้นว่านหางจระเข้ได้ ทั้งยังใช้ทาแผลพุพอง แผลสด เพื่อบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อนได้อีกด้วย เหมาะสำหรับผู้ที่เพิ่งผ่านการยิงเลเซอร์ และมีรอยไหม้แดงบนใบหน้า จะทำให้บรรทาอาการลงและฟื้นตัวเร็วขึ้น

2.ครีมว่านหางจระเข้ ก็มีสรรพคุณเดียวกันกับเจลว่านหางจระเข้ แตกต่างกันที่เนื้อผลิตภัณฑ์ ที่มีส่วนผสมของมอยเจอร์ไรเซอร์เข้มข้นกว่า อาจไม่เหมาะกับผู้ที่มีหน้ามัน เพราะเนื้อครีมจะให้ความรู้สึกหนักกว่าเนื้อเจล แต่ค่อนข้างเหมาะกับผู้ที่มีหน้าแห้ง เพราะจะให้ความชุ่มชื้นที่มากกว่า

ทั้งนี้นอกจากเจลว่านหางจระเข้และครีมว่านหางจระเข้แบบทั่วไปแล้ว ยังถูกต่อยอดออกไปเป็นเจลล้างหน้าว่านหางจระเข้ เจลและครีมว่านหางจระเข้แบบผสมสารกันแดด นอกจากนี้ยังมีน้ำว่านหางจระเข้สำหรับดื่มอีกด้วย โดยสรรพคุณไม่แตกต่างจากว่านหางจระเข้สดมากนัก


ขอบคุณที่มาจาก กระปุก.คอม